กรุงเทพฯ 27
ก.ค.- กลุ่มตะวันออกกลางดูลู่ทางลงทุนใช้ไทยเป็นฐานส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
(แอลพีจี ) จับตาราคาน้ำมัน-แอลพีจีพุ่งหลัง มีความไม่สงบในทะเลแดง
นายวิฑูรย์
กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทด้านปิโตรเลียมขนาดใหญ่จากตะวันออกกลาง
ได้มาหารือ ถึงแนวทางขอเป็นผู้นำเข้าก๊าซแอลพีจีสำหรับจำหน่ายในไทย
และส่งออกไปจำหน่ายในประเทศ ทั้งในแถบอาเซียน และตะวันออกไกล
ซึ่งครอบคลุมตลาดอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนหลังจากที่ไทยยเปิดตลาดแอลพีจีเสรี
และแนวโน้มความต้องการใช้หลังปี 2565-2566 จะพุ่งสูงขึ้นโดยต้องมีการนำเข้ากว่า
2แสนตัน/เดือน หลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานแหล่งปิโตรเลียม” เอราวัณ-บงกช”
ที่ปริมาณก๊าซธรรมชาติจะลดลงจาก 2,700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเหลือ 1,500 ล้านลูกบาศ์กฟุตต่อวัน
“ในขณะนี้
กลุ่มตะวันออกกลางมาศึกษารายละเอียด และคงดูช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะปัจจุบันไทยขาดแคลนต้องนำเข้าแอลพีจีเพียง
2 หมื่นตัน/เดือน เท่านั้น โดยเค้าต้องการใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และในอาเซียน นับเป็นต่างชาติรายใหญ่ ที่ต้องการเป็นผู้ค้าแอลพีจี จากที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มญี่ปุ่น คือมิตซูบิชิ ก็มาจดทะเบียนเพื่อค้าแอลพีจีแล้ว”อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานกล่าว
ปัจจุบัน
ไทยมีผู้นำเข้าแอลพีจี 4 ราย คือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน), บริษัท ยูนิคแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัล จำกัด (มหาชน), บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์
จำกัด (มหาชน) และบริษัท มิตซูบิชิ
(ประเทศไทย) จำกัด แต่จนถึงขณะนี้ มิตซูบิชิ
ยังไม่มีการยื่นเสนอแผนนำเข้าแอลพีจีแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในส่วนมิตซูบิชิ
ระบุว่า หากจะมีการนำเข้าแอลพีจี จะเป็นการเช่าคลังเขาบ่อยา ของ ปตท. ซึ่งมีแนวโน้มที่ ปตท.จะลดค่าเช่าคลังลง
เพื่อให้เกิดการแข่งขันและเป็นอีกแนวทางที่จะเสริมรายได้ให้ปตท.อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบัน ปตท.อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กร หลังจากได้โอนย้ายธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก
ไปอยู่ภายใต้ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR ซึ่งในส่วนของธุรกิจแอลพีจี
จะไปอยู่กับธุรกิจก๊าซของ ปตท. หลังจากแยกหน่วยธุรกิจน้ำมันออกไป
เนื่องคลังแอลพีจี ถือเป็นทรัพย์สินเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
นายวิฑูรย์
กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มการใช้น้ำมันในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากปีก่อนราว 2-3%
แม้ว่าราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะสูงขึ้นราว 60-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ด้านสำนักข่าวต่างประเทศรายงาน
ว่า วานนี้ (26 ก.ค.)สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.
เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 69.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย.
เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 74.54 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่า รัฐบาลซาอุดิอาระเบียตัดสินใจระงับการส่งออกน้ำมันผ่านช่องทางลำเลียงขนส่ง
“บับ อัล-มันเดบ” ในทะเลแดง จนกว่าจะมั่นใจว่ามีความมั่นคงและปลอดภัยโดย
เมื่อวันพุธที่ผ่านมาเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ 2 ลำถูกโจมตีโดยกองกำลังติดอาวุธฮูตีในเยเมนที่อิหร่านสนับสนุน
โดยจะกระทบทั้งราคาน้ำมันและแอลพีจี -สำนักข่าวไทย