กทม. 26 ก.ค.- กยศ. หรือ “กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา” เร่งให้ความช่วยเหลือ “ครูวิภา” ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในกำแพงเพชร ที่เดือดร้อนหนัก กรณีค้ำประกันกองทุน กยศ. ให้ศิษย์กว่า 60 คน แต่ถูกศิษย์ 21 คนเบี้ยวหนี้ จนต้องชำระแทนรวมเกือบ 1 ล้านบาท ด้าน กยศ.ยื่นระงับบังคับคดีชั่วคราว
ความรู้สึกที่อัดอั้นมากว่า 10 ปีของครูวิภา หลังศิษย์รักหลายสิบคนเบี้ยวหนี้ ภาระหนักตกที่แม่พิมพ์ของชาติ บ้านที่ดินถูกยึด สูญเงินเกือบแสน จากความตั้งใจดีให้เด็กยากจนได้เรียนต่อ ม.ปลาย กลายเป็นความทุกข์ใจครอบงำ เด็กหลายคนหนีหาย ติดต่อได้ไม่ถึง 10 คน
เมื่อปี 2541-2542 ครูค้ำประกันให้ลูกศิษย์ 60 ราย จำนวน 29 ราย ชำระหนี้ปิดบัญชีแล้ว 10 ราย ชำระหนี้ปกติ และถูกฟ้องร้องดำเนินคดี 21 ราย ในจำนวนนี้ 4 ราย ครูวิภาชำระหนี้ให้ครบแล้ว เหลือเพียง 17 รายที่อยู่ระหว่างบังคับคดี คิดเป็นเงินต้นค้ำประกัน 190,000 บาท รวมดอกเบี้ยเป็นเงินเกือบ 600,000 บาท จึงเป็นที่มาของ 2 ข้อเสนอ ให้ กยศ.เปลี่ยนภาระหนี้ไปยังผู้กู้หรือผู้ปกครอง หากผู้กู้มาชำระหนี้ให้จ่ายในส่วนผู้ค้ำประกันก่อน และให้เปิดเผยข้อมูลลูกหนี้กับผู้ค้ำประกัน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทราบว่าผู้กู้เบี้ยวหนี้หรือไม่ กรณีของตน ปี 2551 ศาลนัดไกล่เกลี่ย แต่ 10 ปีต่อมาบ้านถูกยึดโดยไม่รู้ตัว หลังเป็นข่าวมีลูกศิษย์ 2 คนโทรมาขอโทษ แต่หลังจากนั้นกลับติดต่อไม่ได้ ทำให้ความกังวลเรื่องหนี้ยังคงอยู่
ด้าน กยศ.เห็นใจครู เตรียมระงับการบังคับคดีที่สำนักงานบังคับคดีกำแพงเพชร ชั่วคราว เพื่อสืบทรัพย์และติดตามอดีตลูกศิษย์ 17 คน และผู้ค้ำรายอื่น เพื่ออายัดเงินเดือน เบื้องต้นทราบที่อยู่และเบอร์โทรครบแล้ว ยอมรับที่ผ่านมามีช่องโหว่ คือการสืบทราบข้อมูลส่วนตัว ทำให้สืบทรัพย์เจอครูวิภาคนเดียว ทั้งนี้ หากยึดทรัพย์รายอื่นไม่ได้ ครูก็ต้องชำระหนี้ตามกฎหมาย ส่วนข้อเสนอของครูทำไม่ได้ เพราะขัดกฎหมาย พร้อมนำกรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ปรับเกณฑ์กำหนดคุณสมบัติผู้ค้ำประกันและจำนวนคนที่ค้ำประกันได้ จากเดิมไม่จำกัด คำนึงแค่ความยากจน
ครูวิภา คือกรณีแรกที่ กยศ.พบว่าเป็นผู้ค้ำนักเรียนจำนวนมาก นับตั้งแต่เปิดกองทุนในปี 2539 ปัจจุบันกองทุนปล่อยกู้นักเรียน 5.4 ล้านคน เป็นเงิน 5.7 แสนล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างชำระหนี้ 3.5 ล้านราย ในจำนวนนี้ผิดนัดชำระ 21 ล้านราย เป็นเงิน 6.8 หมื่นล้านบาท มีผู้ถูกดำเนินคดีแล้วมากกว่า 1 ล้านคน ขณะที่ผลการไกล่เกลี่ยหนี้กยศ.ของกรมบังคดี พบว่าสำเร็จเกือบร้อยละ 90 ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จได้ดียิ่งขึ้น อาจต้องมีการลดดอกเบี้ยในการชำระหนี้. – สำนักข่าวไทย