กรุงเทพฯ 13 ก.ค.- ปตท.วางแผนใช้บล็อกเชน รองรับการซื้อขายน้ำมันและปิโตรเคมีและธุรกิจซัพพลายด์เชนระหว่างกันระหว่างบริษัทในเครือ
ปตท. ทั้งระบบปี 2563 พร้อมจัดประกวด สตาร์ทอัพ ทั่วโลก ต่อยอดธุรกิจ
นางอรวดี โพธิสาโร กรรมการผู้จัดการ บริษัท
พีทีที ดิจิตอล โซลูชั่น จำกัด เปิดเผย ในปีนี้
กลุ่ม ปตท. ได้เริ่มจัดทำโครงการนำร่อง วางระบบฐานข้อมูล(แพลตฟอร์ม)นำเรื่องนำระบบบล็อกเชน
(Blockchain) เข้ามาใช้ในธุรกิจการจ่ายเงินระหว่างกันในบริษัท ในเครือ ซึ่งจะทำให้
การดำเนินธุรกิจมี รวมดเร็ว ความแม่นยำ ลดความผิดพลาด และในอนาคต จะใช้แพลทฟอร์ม
ดิจิทัล มาใช้ในการทำธุรกิจมากขึ้น โดยในปี 2563 ตั้งเป้าหมายว่าจะนำมาใช้ ในธุรกิจซัพพลายเชน
เต็มรูปแบบ ทั้งประโยชน์ทางธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การซื้อขายน้ำมันและปิโตรเคมีระหว่างกัน
จะใช้ทั้งด้านการนำบล็อกเชน การใช้ในการวิเคราะห์ และจัดการข้อมูล รวมไปถึงด้านกระบวนการผลิตและซ่อมบบำรุง
ต่างๆ
“แต่ละปี ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกันในกลุ่มที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน)
ในการซื้อขายน้ำมัน และปิโตรเคมีระหว่างกัน มีมูลค่าสูง การใช้แพลทฟอร์มดิจิทัล
ใช้บล็อกเชน มาช่วย ก็จะทำให้ลดขั้นตอน การดำเนินงาน ส่วนสกุลเงินที่ใช้เบื้องต้น จะเป็นเงินบาท
และไม่ปิดกั้นสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งในอนาคตอาจกำหนดสกุลเงินขึ้นมาเองได้ เช่น
อาจเห็นสกุล PTT เป็นต้น”นางอรดีกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ปตท.
ได้จัดงาน “D-NEXT: Demo Day 2018” ภายใต้โครงการ
“D-NEXT by PTT Digital X RISE” ที่ดำเนินการโดยบริษัท
พีทีที ดิจิตอล โซลูชั่น จำกัด ร่วมกับ RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรและสตาร์อัพระดับภูมิภาค
ได้จัดประกวดนวัตกรรม ของสตาร์ทอัพทั่วโลก มีผู้สมัคร 300 ทีม จาก 22
ประเทศทั่วโลก จนสามารถคัดมาได้ 15 ทีม เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพนำเทคโนโลยีมาต่อยอดในการพัฒนาธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่
(นิว เอสเคิร์ฟ) เพื่อเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยโครงการนี้ ใช้เวลาดำเนินการ 6 เดือน
เริ่มตั้งแต่ ม.ค.-มิย.2561 ซึ่งปีนี้ จัดขึ้นเป็นปีแรก ถือว่าประสบความสำเร็จ
เนื่องจากมีสตาร์ทอัพจากหลายประเทศเข้าร่วมจำนวนมาก ซึ่งผลงานเหล่านี้ หากสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจ
ปตท.ได้ก็จะมีการร่วมทุนกันต่อไป
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีและวิศวกรรม บริษัท
ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
ปตท.มีความตั้งใจในการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การประกวดครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งหวังนำมาใช้ในธุรกิจ ปตท.
แต่เป็นการส่งเสริมสตาร์ทอัพให้เกิดขึ้นเป็นผลดีต่อประเทศและทั่วโลก
นางสาวหญิง
จิตติพัฒนกุลชัย ผู้ร่วมก่อตั้ง RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรและสตาร์อัพระดับภูมิภาค
กล่าวว่า ปัจจุบัน เศรษฐกิจดิจิทัลมีแนวโน้มเติบโตถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งอาเซียนถือว่า เป็นภูมิภาคที่ได้เปรียบตรงที่เป็นตลาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
ด้วยจำนวนประชากรรวมกว่า 620 ล้านคน รองจีน และอินเดีย โดยงาน D-NEXT: Demo
Day 2018 นี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
สำหรับสตาร์ทอัพในภูมิภาคอาเซียนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงผู้บริหารกลุ่มปตท.
และนักลงทุน จะได้สร้างเครือข่ายเพื่อร่วมมือกันต่อยอดการดำเนินธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
ทั้งนี้ สำหรับรายชื่อ 15ทีมสตาร์ทอัพที่จะเข้าร่วม Boot Camp ประกอบด้วย 1.BBP ( Barghest Bulkling Performance ) จาก สิงคโปร์ 2.Classwin (Edtech) จากประเทศไทย 3.ECOWorthTech
(Clean Tech)จากสิงคโปร์ 4.EverComm ( IoT) จากสิงคโปร์
5.Glueck (Data Analytics) จากมาเลเซีย 6.HelloGold (
FinTech/Blockchain ) จากมาเลเซีย 7.HitKey (AI) จากสิงคโปร์ 8.NPCore (cyber security) จากเกาหลีใต้
9.Onewatt (IoT) 10.Sales Candy (CRM) จากมาเลเซีย
11.Synaptik (Data Analytics) จากสหรัฐอเมิรกา 12.StoneLab
(smart maintenance) จากไทย 13.Tracker Hero (IoT&SaaS) จากมาเลเซีย 14.Wisepass ( Life Style) จากเวียดนาม
และ15.UPUP APP (HR Tech) จากเวียดนาม–สำนักข่าวไทย