สำนักงานกกต. 1 ก.พ.-พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ระบุ กกต.เตรียมเสนอความเห็นแย้งกรณีขยายเวลาลงคะแนนเลือกตั้ง-การจัดมหรสพ ระบุขัดโจทย์ปฏิรูปเลือกตั้งที่หวังลดค่าใช้จ่ายพรรคการเมือง
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวในงานประชุมผู้บริหารสำนักงานกกต.เผยแพร่ความรู้รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ว่า คาดว่าใน 1-2 วันนี้จะได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ซึ่งสำนักงานจะต้องจัดทำประเด็นโต้แย้งเพื่อเสนอต่อที่ประชุมกกต. เบื้องต้นเห็นว่าประเด็นที่มีความเป็นไปได้ที่จะต้องทำความเห็นโต้แย้งคือ ระยะเวลาลงคะแนนตั้งแต่เวลา 07.00 น.ถึง 17.00 น.
“ผมเห็นว่าการเลือกตั้งจัดในวันอาทิตย์ ส่วนใหญ่ผู้ใช้สิทธิจะมาใช้สิทธิเลือกตั้งแบบสบาย ๆ คงไม่มีใครตื่นตีห้ามาใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมถึงข้อจำกัดของพื้นที่ห่างไกลอีก ที่สำคัญประเด็นนี้ไม่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 77 กำหนดไว้ จึงไม่ทราบว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย” พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าว
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวว่า ยังมีประเด็นการจัดมหรสพในช่วงหาเสียงด้วย เพราะถือเป็นการจูงใจ ซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ ขณะที่การปฏิรูปการเลือกตั้ง ต้องการให้พรรคการเมืองใช้ทุนให้น้อยที่สุด แต่กลับให้จัดมหรสพได้ จึงถือว่าขัดกับโจทย์สำคัญคือการลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้พรรคการเมืองที่ไม่มีเงินสามารถแข่งขันได้ ไม่ต้องพึ่งพาทุนสามานย์ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบการเมืองพัง ดังนั้น เมื่อไม่อยากให้ทุนเข้ามา ก็ต้องลดค่าใช้จ่ายในการหาเสียงให้ได้ เช่น ป้ายหาเสียง ไม่ให้พรรคการเมืองติดป้าย แต่กกต.จะทำแทนให้เพื่อความเท่าเทียม ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งหน้า กกต.จะใช้งบประมาณจำนวน 5,800 ล้านบาทจากเดิม 3,000 ล้านบาท โดยในส่วนที่เพิ่มขึ้น 2,800 ล้านบาท เพื่อให้รัฐสนับสนุนลงมาช่วยผู้สมัครในการหาเสียง ซึ่งจะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกจากนโยบายของพรรคมากกว่า
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวถึงการปฏิรูปการจัดการทุจริตเลือกตั้ง ว่าสำนักงาน กกต.อยู่ระหว่างร่างระเบียบตั้งกองทุนปราบทุจริต เพื่อให้เป็นสินบนรางวัลกับบุคคลที่นำพยานหลักฐานการซื้อเสียงหรือการทุจริตเลือกตั้งมาแจ้งต่อกกต. และหากพยานหลักฐานนั้นนำไปสู่การให้ใบแดงหรือการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งได้ กกต.จะจ่ายสินบนรางวัลให้ 1 หมื่นบาท.-สำนักข่าวไทย
