กรุงเทพฯ 11 ต.ค. – กสิกรไทย ชี้เศรษฐกิจโลกไม่เกิดวิกฤตแต่ยังอ่อนแอ มองไทยปีนี้-ปีหน้าโตร้อยละ 3.3 เอกชนห่วงปัจจัยก่อการร้ายกระทบท่องเที่ยวไฮซีซั่น
ในงานสัมมนา “รู้รอบทิศ พิชิตการลงทุน” ของธนาคารกสิกรไทย นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศหลักยังอ่อนแอต่อไปทั้งยุโรป จีนและ ญี่ปุ่น แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวที่ฟื้นตัว ขณะที่ตลาดการเงินโลกผันผวน โดยผลกระทบกับไทยมีต่อภาคส่งออกทำให้ปีนี้การส่งออกหดตัวร้อยละ 2.5 และปี 2560 ขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 1 โดยต้องฝากความหวังไว้กับภาครัฐโดยเฉพาะการลงทุนที่จะเป็นฟันเฟื่องในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตร้อยละ 3.3 ทั้งในปี 2559 และปี 2560
ส่วนภาวะอัตราดอกเบี้ยของไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยตลอดปีนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดมีแนวโน้มขยับดอกเบี้ย 1 ครั้งในปลายปีนี้และอีก 1-2 ครั้งในปี 2560 โดยพิจารณาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก
ขณะที่นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลกระทบของดอยซ์แบงก์ไม่น่ามีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยมากนัก ขณะที่การเปลี่ยนแปลงผู้นำสหรัฐก็ไม่ได้มีผลต่อไทยมากเช่นกัน เพราะไทยทำการค้ากับสหรัฐเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หากมีการปรับขึ้นแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวขึ้น เงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่า เงินบาทจะอ่อนค่า และจะผลดีกับการส่งออกของไทย แต่สิ่งที่ต้องเป็นห่วง คือเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัว เพราะจีนเป็นเหมือนหัวรถจักรของเอเชีย เมื่อเศรษฐกิจจีนชะลอ จีนจะเลือกซื้อสินค้า ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรปรับตัว และพัฒนาการผลิตและบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดจีนให้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังยอมรับกังวลเกี่ยวกับปัญหาการก่อการร้าย เพราะจะมีผลกระทบรุนแรงกับภาคการท่องเที่ยว ที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะหากเกิดความวุ่นวายขึ้นในพื้นที่สำคัญของไทย อาจกระทบกับบรรยากาศการท่องเที่ยวทั้งไตรมาส 4 ของปีนี้ให้หายไป และอาจต่อเนื่องถึงปีหน้าทั้งปีได้
ส่วนนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท มองว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก และคาดว่าจะยังขยายตัวต่อเนื่องไปอีก 7-10 ปี เนื่องจากประชากรในกรุงเทพและปริมณฑลยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยสูง และการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปตามหัวเมือง เช่นรถไฟรางคู่ และรถไฟความเร็วสูง ทำให้การกระจายตัวไปยังภูมิภาคด้วย ส่วนปัจจัยต่างประเทศไม่มีผลกับภาคอสังหาริมทรัพย์มากนัก ทั้งการเลือกผู้นำคนใหม่ของสหรัฐ และการก่อการร้าย
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับจีน เพราะเป็นประเทศที่มีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และสัดส่วนการส่งออกของไทยไปจีนสูงกว่าประเทศอื่น ดังนั้นหากจีนเติบโตดีไทยก็ดีขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ ไม่น่าห่วงมากนัก พร้อมแนะนำผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวด้วยการออกลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ที่มีขนาดตลาดที่ใหญ่ ซึ่งในช่วงแรกอาจมีอุปสรรคบ้าง แต่เชื่อว่าเอกชนไทยจะได้ประสบการณ์และบุกตลาดต่างประเทศได้ในอนาคต.-สำนักข่าวไทย