กทม.19 พ.ย.- “ประยุทธ”รองโฆษกอัยการ ระบุ คดี”ครูจอมทรัพย์” ศาลชี้ชัดในคำพิพากษาเป็นขบวนการว่าจ้างรับผิดไม่ใช่”แพะ”เข้าข่ายเบิกความเท็จผิดทั้งผู้เบิกความหรือคนว่าจ้าง
นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ยกคำร้องการขอรื้อฟื้นคดีอาญาในคดีนางจอมทรัพย์ เเสนเมืองโครต อดีตครูโรงเรียน ในจังหวัดสกลนคร ที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาเมื่อ 17 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า เรื่องนี้สังคมได้เรียนรู้หลายอย่างจากคดีนี้ถึงการทำงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่รวมทั้งผลที่จะตามมา หากผู้ที่เกี่ยวข้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตหรือที่เรียกว่ามาศาลมือไม่สะอาดด้วย
เรื่องนี้ข้อแรก เห็นได้ว่าเมื่อศาลฎีกายกคำร้องนางจอมทรัพย์ ย่อมเป็นการยืนยันว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีที่พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี 2 เดือนในข้อหา ขับรถโดยประมาทชนผู้อื่นถึงแก่ความตายและหลบหนีไม่หยุดให้ความช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ทันที ซึ่งครูจอมทรัพย์ได้รับโทษออกมาแล้วเป็นคำพิพากษาที่ถูกต้องทุกประการหรือสรุปสั้นๆคือ นางจอมทรัพย์ไม่ใช่”แพะ”หากแต่เป็นบุคคลที่กระทำผิดอาญาตามที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก ที่สำคัญที่สุดคือ กว่าที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาลงโทษครูจอมทรัพย์ การทำงานของหน่วยงานยุติธรรมหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และศาลยุติธรรม ย่อมแสดงให้เห็นว่า ต่างก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่แล้ว
นายประยุทธ กล่าวต่อว่า เมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยคำว่า มีขบวนการว่าจ้างให้นายสับ มาสมอ้างว่าเป็นคนขับรถชนผู้ตายแล้วต่อไปจะได้รับผลตามกฎหมายอย่างไรบ้างนั้น ประเด็นนี้ขอเรียนว่า โดยหลักแล้วการฟ้องคดีหรือการเบิกความต่อศาลจะต้องกระทำโดยสุจริต หรือมาศาลมือสะอาด ดังนั้นหากไม่สุจริตหรือเอาความเท็จในข้อสำคัญทางคดีมาเบิกความต่อศาลก็เข้าข่ายมีความผิดฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ซึ่งความผิดฐานเบิกความเท็จมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นคนเบิกความหรือคนจ้างวานก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน สวนจะการดำเนินการต่อไปอย่างไร ไม่ขอก้าวล่วงเนื่องจากเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่ต้องดำเนินการต่อไป.-สำนักข่าวไทย