ภูเก็ต 16 พ.ย. – อธิบดีดีเอสไอสนธิกำลังร่วมกับทีมพยัคฆ์ไพร ลงพื้นที่ชายหาดเลพัง และชายหาดลายัน จ.ภูเก็ต หลังศาลกีฎามีคำพิพากษาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ให้รัฐเป็นฝ่ายชนะคดี และให้พื้นที่ทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท กลับเป็นที่ดินของสาธารณประโยชน์
เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดพยัคฆ์ไพร และทหารจากทัพเรือภาคที่ 3 สนธิกำลังนำป้ายข้อความติดประกาศให้ผู้อ้างการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินบริเวณชายหาดเลพังและหาดลายัน จ.ภูเก็ต จำนวน 9 ราย รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากพื้นที่ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันนี้ หลังศาลจังหวัดภูเก็ตอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ให้รัฐเป็นฝ่ายชนะคดี และให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน 178 ไร่ กลับมาเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ปี 2484
นายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร ระบุว่า จากการตรวจสอบการอ่านแปรภาพถ่ายทางอากาศ พบว่าพื้นที่ชายหาดลายันและชายหาดเลพังทั้ง 200 ไร่ รวมทั้ง 15 แปลง ล้วนเป็นแผ่นดินงอกจากชายทะเล ในอดีตเคยมีสภาพเป็นทะเลมาก่อน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ยึดถือครอบครองและออกเอกสารสิทธิ ซึ่งนอกจากชายหาดทั้งสองแห่งนี้แล้ว ปัจจุบัน จ.ภูเก็ต ยังมีพื้นที่แผ่นดินงอกจากชายทะเลลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายแห่ง โดยเฉพาะชายหาดที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ
ด้าน พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดี ดีเอสไอ ระบุว่าพื้นที่ชายหาดเลพังและลายันที่มีการบุกรุกจำนวน 15 แปลง แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือแปลงที่รัฐชนะคดีแล้ว คือแปลงหมายเลข 6-13 รวม 178 ไร่ ปัจจุบันผู้อ้างการถือครองมีการปลูกสร้างร้านค้าและร้านอาหาร ส่วนนี้ต้องรื้อถอนทันทีภายใน 30 วัน ส่วนแปลงหมายเลขที่ 1-5, 14 และ 15 ยังอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยผู้ถือครองอ้างการใช้ สค.1 มาออกเป็นโฉนด ขณะที่แปลงหมายเลขที่ 1 และ 2 จำนวน 13 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานหาดลายัน ดีเอสไอตรวจสอบพบว่าถูกออกเป็นโฉนดในยุคของนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าหน้าที่ที่ดินที่เสียชีวิตไปแล้ว. – สำนักข่าวไทย