จีน 11 ธ.ค. – บีโอไอเตรียมจัดงาน “Opportunity Thailand Seminar ” 15 ก.พ.60 หวังประกาศไทยพร้อมส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายลงทุนฉบับใหม่ โรดโชว์จีนได้ผลเกินคาดหลายธุรกิจสนใจลงทุนไทย ตั้งเป้ายอดขอรับส่งเสริมการลงทุนปีหน้ากว่า 600,000 ล้านบาท
นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอเตรียมจัดงาน ใหญ่ “Opportunity Thailand Seminar” หรือวันส่งเสริมการลงทุนไทย วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานกล่าวเปิดงาน เพื่อประกาศความพร้อมของไทยในการส่งเสริมการลงทุนแบบครบวงจรตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุนที่มีการแก้ไขเพิ่มไม่ว่าจะเป็นการขยายเวลาการให้สิทธิพิเศษจาก 8 ปี เป็น 13 ปี และเพิ่มเงื่อนไขของภาษี รวมถึงกฎหมายเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในเขตพื้นที่ต่าง ๆ ที่บีโอไอกำหนดไว้เพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่าเป็นแรงจูงใจสำคัญต่อการขยายภาคธุรกิจที่มีการลงทุนอยู่แล้วและที่กำลังตัดสินใจที่จะเข้ามาลงทุนขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทยมากขึ้นในอนาคต คาดว่าจะมีนักธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 2,500 คน
นอกจากนี้ จะเชิญกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำของไทยและต่างประเทศ รวมถึงสื่อมวลชนจากหลายประเทศมาร่วมงาน ซึ่งนักธุรกิจไทยที่ตอบรับจะมาพูดในงาน เช่น นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกลุ่มเครือซีพี และนายกานต์ ตระกูลฮุน อดีตซีอีโอเครือเอสซีจี และผู้บริหารโรลส์-รอยซ์ ที่จะพูดถึงทิศทางการค้าและการลงทุนในโลกอนาคต และทางบีโอไอจะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนไทยและต่างประเทศชมกิจการชั้นนำที่ประสบผลสำเร็จทางธุรกิจที่เคยขอรับการส่งเสริมการลงทุนมาแล้ว เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนทั่วโลกได้รับทราบหลักการบริหารธุรกิจอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
นางหิรัญญา กล่าวว่า การนำคณะบีโอไอ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เยือนจีนใน 3 เมืองใหญ่ ได้แก่ เซินเจิ้น หางโจว และปักกิ่ง นักธุรกิจชั้นนำของจีน เช่น อาลีบาบา หัวเหว่ย และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมยางรถยน์และกลุ่มเทคโนโลยีชั้นสูง หรือแม้แต่แบงก์ออฟไชน่า (BOC) ในช่วงวันที่ 7-11 ธันวาคมนี้ ต่างตอบรับและยินดีที่จะร่วมสนับสนุนต่อยอดภาคธุรกิจในไทยทั้งที่มีการลงทุนอยู่แล้วและจะเพิ่มได้อนาคต ซึ่งบีโอไอยังได้เชิญนักธุรกิจของจีนเข้าร่วมงานวันส่งเสริมการลงทุนของไทยปีหน้าด้วย และที่น่ายินดีหลังจากผู้บริหารแบงก์ออฟไชน่าพบปะกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมายินดีที่จะสนับสนุนให้ลูกค้าของแบงก์ที่มีสาขากว่า 600 แห่ง มีฐานลูกค้ากว่า 3 ล้านรายทั่วโลก ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 70 เป็นนักลงทุนจีนและอีกร้อยละ 30 เป็นนักลงทุนจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมาใช้บริการสินเชื่อเพิ่ม เพื่อลงทุนในประเทศไทย โดยจะนำลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมงานวันส่งเสริมการลงทุนไทยด้วย ซึ่งแบงก์ออฟไชน่าจะเป็นประตูสำคัญที่จะเชื่อมให้ลูกค้าเข้ามาลงทุนในไทยในหลายโครงการเป็นอย่างดี
ส่วนตัวเลขการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกปี 2559 (ม.ค.-ก.ย.) นั้น มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ 648 โครงการ มูลค่าการลงทุน 169,838 ล้านบาท จีนลงทุนมากเป็นอันดับ 3 มีคำขอรับการส่งเสริม 69 โครงการ เงินลงทุน 24,288 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 134 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และหากรวมการลงทุนของฮ่องกงอีก 26 โครงการ เงินลงทุน 15,050 ล้านบาท ทำให้การลงทุนจากจีนและฮ่องกงเป็นอันดับ 2 ของการลงทุนจากต่างประเทศ โดยปีนี้เงินลงทุนจากจีนและฮ่องกงมีถึง 40,000 ล้านบาท และปี 2560 จะเพิ่มเท่าตัวเป็น 80,000 ล้านบาท โดยตัวอย่างโครงการลงทุนขนาดใหญ่จากจีน เช่น กิจการผลิตยางรถบรรทุก ยางรถบัส ยางรถออฟเดอะโรด และกิจการผลิตแผ่นเซลล์แสงอาทิตย์ ( SOLAR CELL) กิจการผลิตเหล็กแผ่นเคลือบ กิจการผลิตสารให้ความหวานจากข้าวโพด กิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จะเห็นได้ว่าโครงการลงทุนจากจีนมีกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย New s Curve ใหม่ ๆ มากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าตัวเลขส่งเสริมการลงทุนปีนี้จะอยู่ที่ 550,000 ล้านบาทเป็นไปตามเป้าหมาย โดยปีหน้าตั้งไว้กว่า 600,000 ล้านบาท โตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยนำเสนอบอร์ดบีโอไอพิจารณาเห็นชอบแล้ว ซึ่งปีหน้าทริปเดินทางโรดโชว์มากกว่า 100 ที่บีโอไอจะออกเชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลกมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตามแนวทางของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะผนึกทุกหน่วยงานที่สำคัญของไทย ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บีโอไอ เดินหน้าโรดโชว์ชักชวนประเทศที่สำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงค์โปร์ ร่วมกันเป็นพันธมิตรการค้าระหว่างกัน เพราะประเทศเหล่านี้แนวทางการค้าและการลงทุนไปในทิศทางเดียวกัน หากสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าการลงทุนแบบเป็นพันธมิตรร่วมกันได้จะขยายการค้าและการลงทุนภายในกลุ่มให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน และอีกทางหนึ่งไทยยังจะดึงกลุ่มอุตสากรรมที่มีศักยภาพจากยุโรปและสหรัฐอเมริกาให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่ม เพราะขณะนี้หลายประเทศจะลงทุนในไทยแล้วผ่านต่อไปยังกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีที่จะสามารถขยายการค้าและการลงทุนในกลุ่มอาเซียนได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน.-สำนักข่าวไทย