กทม.4 ก.ย.-กทม.ชี้แจงการขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิทและ สายสีลมที่จะปรับขึ้น 1 ต.ค.นี้ เป็นไปตามสัญญาสัมปทานระหว่างกทม. กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ซึ่งปรับครั้งล่าสุด 4 ปีที่แล้ว(1มิ.ย.56) แต่จะนำข้อร้องเรียนของเครือข่ายผู้บริโภคเข้าหารือที่ประชุม คกก.บริหารระบบขนส่งมวลชนฯเดือนนี้ ส่วนการติดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวก ผู้พิการ-ผู้สูงอายุ เร่งดำเนินการ ซึ่งจะติดตั้งลิฟท์ครบ 23 สถานี แล้วเสร็จในเดือน ต.ค.นี้
นายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) มอบหมายให้ นายสุธน อาณากุล ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กทม.ชี้แจงประเด็นการปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสตามที่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับตัวแทนจากภาคีเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้ ตัวแทนคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน แถลงข่าวคัดค้านการขึ้นราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิทและสายสีลม ที่จะปรับขึ้นราคาภายในวันที่ 1 ต.ค.นี้
ว่า การขึ้นราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิทและสายสีลม ที่จะปรับขึ้นราคาภายในวันที่ 1 ต.ค.นี้ เป็นการปรับราคาค่าโดยสารที่เรียกเก็บสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอสเฉพาะในส่วนของเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร ไม่รวมส่วนต่อขยายที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงของ กทม.
โดยการปรับราคาค่าโดยสารเป็นไปตามสัญญาสัมปทาน ระหว่าง กทม.กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งระบุว่าบริษัทฯ อาจปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บเป็นคราวๆ ไป และบริษัทสามารถปรับค่าโดยสารได้ทุก 18 เดือน แต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงสุด (เพดานอัตราค่าโดยสารสูงสุดปัจจุบันอยู่ที่ 60.31 บาท) โดยมีการปรับราคาค่าโดยสารครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.56 ซึ่งเป็นเวลากว่า 4 ปี แล้ว
ทั้งนี้ บริษัทจะต้องแจ้งให้ กทม.และประชาชนทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน ก่อนที่ค่าโดยสารที่เรียกเก็บใหม่นั้นจะบังคับใช้ ซึ่งบริษัทฯ ได้แจ้งมายังกทม.แล้วและจะมีผลในวันที่ 1 ต.ค.60 นี้ อย่างไรก็ตาม กทม.จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครในเดือน ก.ย.นี้ เพื่อหาข้อสรุป และนำเรียนผู้ว่าฯกทม.ต่อไป
ส่วนการติดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ ขณะนี้ กทม.อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ ซึ่งจะติดตั้งลิฟท์สำหรับผู้พิการที่สถานีรถไฟฟ้า ครบทั้ง 23 สถานี แล้วเสร็จในเดือนตุลาคมนี้
ส่วนกรณีที่ระบุว่าภาครัฐควรกำหนดในสัญญาสัมปทานว่าหากมีจำนวนผู้โดยสารหรือจำนวนคนใช้เกินกว่าเป้าที่ตั้งแล้ว ไม่ควรต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นอีก เพราะบางสถานียังไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกผู้พิการและผู้สูงอายุ อีกทั้งผลประกอบการรวมถึงจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้ามีแนวโน้มดีขึ้น และปัจจุบันค่ารถไฟฟ้าสูงกว่าประเทศอื่นหากเทียบรถไฟฟ้าใต้ดินและเอ็มอาร์ทีของประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์นั้น ผอ.สำนักการจราจรและขนส่ง กทม.กล่าวว่า สัญญาสัมปทานไม่ได้มีการระบุรายละเอียดดังกล่าวไว้ เนื่องจากในการดำเนินการรวมทั้งการบริหารจัดการทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การก่อสร้าง การจัดการเดินรถ การบริหารงาน และการจัดการอื่นๆ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด ภาครัฐจึงไม่ได้กำหนดรายละเอียดดังกล่าวในสัญญาสัมปทาน
นอกจากนี้ ยังมีข้อแตกต่างของการบริหารจัดการระบบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์ มีการพัฒนาเส้นทางโดยรอบของสถานีในเชิงพาณิชย์ จึงสามารถนำรายได้ดังกล่าวมาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเดินรถและบริหารงาน แตกต่างกับประเทศไทยที่มีรายได้จากการจัดเก็บค่าโดยสารและค่าโฆษณาภายในสถานีเป็นหลัก จึงจำเป็นต้องนำรายได้จากการจัดเก็บค่าโดยสารมาเป็นต้นทุนในการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้มีการจัดเก็บค่าโดยสารจากผู้พิการแต่อย่างใด .-สำนักข่าวไทย