รัฐสภา 31 ส.ค.-สนช.มติเอกฉันท์เห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี2561 วงเงิน 2.9 ล้านล้านบาท หลังคณะกรรมาธิการฯปรับเพิ่มงบประมาณ 22,000 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลยืนยันจะใช้งบประมาณคุ้มค่าและถูกต้องตามกฎหมาย
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เป็นประธาน ที่ประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 วงเงิน 2.9 ล้านล้านบาทในวาระที่ 2-3 ภายหลังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ชี้แจงว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีทั้งหมด 65 มาตรา แก้ไขในชั้นกรรมาธิการฯ 58 มาตรา ไม่มีกรรมาธิการฯสงวนความเห็น และไม่มีสมาชิกสนช.สงวนแปรญัตติ
ทั้งนี้ กรรมาธิการฯ นำรายการงานวิเคราะห์ผลกระทบตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญมาประกอบการพิจารณาแล้ว โดยยืนยันว่ากรรมาธิการฯเน้นพิจารณาให้แต่ละหน่วยงานทำงานอย่างเชื่อมโยงกัน เพื่อส่งผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีข้อสังเกตว่าให้แต่ละหน่วยงานมีตัวชี้วัดอย่างชัดเจน สะท้อนและประเมินผลการดำเนินงานได้อย่างแท้จริง เพื่อประกอบการพิจารณางบประมาณในปีต่อไป
ส่วนการกำหนดเป้าหมายของกระทรวงและหน่วยงาน ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ตลอดจนนโยบายสำคัญของรัฐ ต้องจัดลำดับความสำคัญของภารกิจ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีภารกิจซ้ำซ้อน โครงการที่ไม่ประหยัดค่าใช้จ่าย มีความจำเป็นน้อย ให้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เช่น ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมสัมมนา การเดินทางไปราชการต่างประเทศ รวมทั้งโครงการที่มีรายการดำเนินการล่าช้ากว่ากำหนด
ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการฯ ได้ปรับเพิ่มงบประมาณจำนวน 6 รายการ รวมทั้งสิ้น 22,163,095,000 บาท ประกอบด้วยงบกลาง ได้รับเพิ่ม 21,257,187,600 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของส่วนราชการรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วน หน่วยงานรัฐสภา ได้รับเพิ่ม 414,016,600 บาท แบ่งเป็นของ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา 71,930,600 บาท และของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 342,086,000 บาท เพื่อการก่อสร้างที่ทำการรัฐสภาแห่งใหม่และแก้ไขปัญหาอาคารสถานที่คับแคบ ไม่เพียงพอกับการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาและเจ้าหน้าที่
ขณะที่หน่วยงานของศาล คือ สำนักงานศาลปกครอง ได้รับเพิ่ม 96,769,800 บาท ส่วนหน่วยงานอิสระของรัฐ ได้รับเพิ่ม 385,841,400 บาท แบ่งเป็น ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 241,155,900 บาท สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 61,534,000 บาท สำนักงานอัยการสูงสุด 83,151,500 บาท สำหรับในส่วนของ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน คือ กองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ได้รับเพิ่ม 7,689,600 บาท งบประมาณสำหรับแผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้รับเพิ่ม 1,590,000 บาท
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการฯ มีข้อสังเกตเรื่ององค์การมหาชนที่มีภารกิจซ้ำซ้อนกับส่วนราชการอื่น และไม่มีผลดำเนินงานที่ตอบสนองนโยบายรัฐบาล โดยขอให้พิจารณายุบเลิก ควรคัดเลือกเฉพาะหน่วยงานที่สนองนโยบายรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่กรมประชาสัมพันธ์ ควรบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาช่องทางการสื่อสารให้ประชาชนรับทราบข่าวสารที่ถูกต้อง กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการบิดเบือนข่าวสารและประเด็นอ่อน ส่วนกระทรวงกลาโหม ควรประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้ทราบถึงความจำเป็นว่า เหตุใดกองทัพจะต้องเตรียมความพร้อมด้วยการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์
ขณะที่สมาชิก สนช.อภิปรายเป็นห่วงเรื่องการปรับลดงบประมาณของกระทรวงต่าง ๆ โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข เพราะมีงบประมาณที่ใช้ดูแลสุขภาพของประชาชนและผู้สูงอายุ แต่ประธานกรรมาธิการฯ ยืนยันว่า งบประมาณที่กรรมาธิการฯปรับลด เป็นเรื่องการก่อสร้าง ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบหลักประกันสุขภาพประชาชนและการดูแลผู้สูงอายุ
จากนั้น ที่ประชุมสนช.มีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ด้วยคะแนน 200 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากที่ประชุมลงมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 เสร็จสิ้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายกล่าวขอบคุณสมาชิกที่ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้งบประมาณเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการนำไปแก้ปัญหาและขับเคลื่อนประเทศ รวมทั้งนำไปใช้ในยุทธศาสตร์ชาติของประเทศ ทั้งเรื่องการเมืองการปกครอง ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ศักยภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน ความเหลื่อมล้ำและการแก้ปัญหาที่ไม่เป็นธรรม
“การแก้ปัญหาทรัพยากรน้ำและคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหาเรื่องกฎระเบียบต่าง ๆ ในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ผ่านมารัฐบาลรับฟังสิ่งที่สมาชิกอภิปรายมาโดยตลอด เพื่อนำไปรายงานต่อนายกรัฐมนตรี แม้แต่สิ่งที่กรรมาธิการฯ ตั้งข้อสังเกต ได้นำไปใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อให้เกิดความละเอียดรอบคอบในการนำงบประมาณไปใช้ เรื่องใดดำเนินการได้ก่อนจะเร่งดำเนินการ ส่วนเรื่ององค์การมหาชนที่เป็นข้อสังเกตของกรรมาธิการ ก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีมีมติไม่ให้เพิ่มกำลังคนในองค์การมหาชนที่คาดว่ามีแนวโน้มจะปรับสถานะในอนาคตแล้ว ยืนยันว่ารัฐบาลจะนำงบประมาณไปใช้อย่างคุ้มค่าและอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” นายวิษณุ กล่าว.-สำนักข่าวไทย