กรุงเทพฯ 4 ส.ค.-กรมคุมประพฤติ เพิ่มองค์ความรู้ให้เจ้าหน้าที่ หวังลดจำนวนผู้กระทำผิดซ้ำ พร้อมเตรียมแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้
นายสมชาย เสียงหลาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “บทบาทของงานคุมประพฤติในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำ” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ของต่างประเทศในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำ รวมทั้งแลกเปลี่ยนมุมมอง จากนักวิชาการด้านอาชญาวิทยาและการป้องกันอาชญากรรม ซึ่งเป็นแนวทางของงานคุมประพฤติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำ และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยมี พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร นักวิชาการด้านกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า จากสถิติคดีอาชญากรรมของไทย มีผู้กระทำผิดที่เข้ามาในระบบคุมประพฤติเกือบ 400,000 คนต่อปี มีทั้งผู้ที่ศาลสั่งรอลงอาญาไม่ต้องติดคุก , ผู้ที่ติดคุกแล้วได้รับการพักโทษ พ้นโทษก่อนกำหนดและผู้ติดยาเสพติดที่มีกฎหมายพิเศษในการดูแลไม่ต้องติดคุก เน้นการบำบัดรักษาหรือควบคุมตัวอยู่ภายในค่าย ซึ่งปัญหาที่เกิดในการคุมประพฤติแต่ละปี พบหลายหมื่นราย ไม่เข้ามารายงานตัว หรือรายงานตัวไม่ครบ จนนำไปสู่การกระทำความผิดซ้ำ ยอมรับเจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติอาจดูแลไม่ทั่วถึงเนื่องจากมีอยู่เพียง 4,000 คนทั่วประเทศ และอำนาจกฎหมายที่ให้ไว้ไม่เพียงพอ ในอนาคตคงมีการปรับแก้ พ.ร.บ.คุมประพฤติ เพิ่มอำนาจหน้าที่ ให้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิด ปฏิบัติงานได้แบบกระชับฉับไวมากขึ้น
สำหรับปี 2559 มีผู้ถูกคุมความประพฤติเป็นผู้ใหญ่จำนวน 144,796 คน ผู้ได้รับการพักการลงโทษหรือลดวันต้องโทษ จำนวน 41,521 คน เด็กและเยาวชนที่ถูกคุมความประพฤติ จำนวน 8,540 คน และผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด จำนวน 66,271 คน ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีผู้ที่พ้นการคุมความประพฤติด้วยดี จำนวน 174,698 คน คิดเป็นร้อนละ87.36 และผู้ที่กระทำผิดเงื่อนไข 25,272 คน คิดเป็นร้อยละ12.64 ในจำนวนผู้ที่ผิดเงื่อนไขนี้ มีทั้งผู้ที่เจตนาผิดเงื่อนไขจำนวน 9,323 คน ไม่มารายงานตัวจำนวน 1,963 คน ผู้ที่ศาลออกหมายจับจำนวน 8,418 คน ถูกจับคดีใหม่ 3,733 คน และถูกจำคุก 1,835 คน ทั้งนี้มีผู้ที่พ้นการคุมความประพฤติแล้ว แต่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำสูงถึงร้อยละ22.78 .-สำนักข่าวไทย