รร.เซ็นทรัลเวิลด์ 1 มิ.ย. – ผู้ว่าการธปท.เผย เตรียมทบทวนกฎเกณฑ์และเงื่อนไขของคลินิกแก้หนี้ให้เหมาะสมและครอบคลุมให้กว้างมากขึ้น
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการเปิดคลีนิคแก้หนี้ในวันแรก ว่า ขณะนี้ได้รับทราบถึงปัญหาหนี้ส่วนบุคคลว่ามีความหลากหลาย เพราะลูกหนี้มีหนี้ทั้งกับสถาบันการเงิน และไม่ใช่สถานบันการเงิน จึงทำให้การพิจารณาแก้หนี้ของแต่ละรายมีปัญหาหรืออาจไม่ได้เข้าโครงการ ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายความช่วยเหลือลูกหนี้เหล่านี้ ธปท.ได้ผลักดันการแก้ไขพระราชกำหนดบริหารสินทรัพย์ เพื่อให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท หรือ SAM เข้าไปเจรจาดูแลลูกหนี้ที่เป็นหนี้กับหน่วยงานที่ไม่ใช่สถาบันการเงินด้วย เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการแก้ไขปัญหาแบบองค์รววม พร้อมกันนี้ หลังจากคลีนิคดังกล่าวแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลได้ระยะหนึ่ง จะทำการทบทวนกฎเกณฑ์และเงื่อนไขให้เหมาะสมและครอบคลุมมากขึ้น.
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา Euro Money หัวข้อ “The Greater Mekhong Investor” ว่า เพื่อส่งเสริมความร่วมมือของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกำลังหารือผ่อนปรนเงื่อนไขบริการทางการทั้งด้านการแลกเปลี่ยนเงินตรา การนำเงินเข้าออกประเทศทั้งการลงทุน และซื้อขายสินค้า และส่งเสริมการตั้งสาขาในแต่ละประเทศ ยอมรับว่ากลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีเศรษฐกิจเติบโตเป็นอันดับต้นๆของโลก เพราะอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จึงต้องการเงินทุนจากแหล่งต่างๆเข้าไปลงทุนจำนวนมาก ทั้งด้านการคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ พลังงาน การท่องเที่ยว เพื่อความร่วมมือทางการเงินมากขึ้น
นายวิรไท กล่าวว่า กรณี กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แนะนำให้ไทยใช้นโยบายค่าเงินที่มีความยืดหยุ่นกว่าปัจจุบัน เพราะไทยใช้เงินทุนสำรองแทรกแซงแทรกค่าเงินบาทจนทำให้ตลาดบิดเบือน ยอมรับว่า การเข้ามาเก็บข้อมูลเศรษฐกิจ เป็นช่วงเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ตัวเลขไม่ค่อยดีนักในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แต่ขณะนี้เศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง และประเทศสมาชิกหลายประเทศ มีทั้งการรับฟังข้อเสนอของไอเอ็มเอฟ และมีความเห็นต่าง จึงขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ เพราะเป็นเพียงการทบทวนมุมมองทางเศรษฐกิจต่อประเทศสมาชิก เท่านั้น มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังคงฟื้นตัวดีต่อเนื่อง จากการส่งออกขยายตัวดี และการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนที่ยังชะลอตัว ก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงเพราะรัฐบาลบเร่งผลักดันโครงการต่างๆ อยู่ตลอด
ส่วนความกังวลการว่าจะเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น ยืนยันไม่มีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะขณะนี้ยังไม่เห็นปัจจัยด้านการขอสินเชิ่ออสังหาริมทรัพย์ที่ผิดปกติและสูงจนเกินไป ขณะเดียวกันเงินทุนที่ใช้ในการลงทุนดังกล่าว เป็นเงินเย็นของแต่ละผู้ประกอบการเอง และปัจจุบันมีทางเลือกในการระดมทุนมากขึ้น เพราะภาคอสังหาริมทรัพย์มีผลตอบแทนจากการระดมทุนค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับเงินฝาก นักลงทุนจึงให้ความสนใจ ส่วนปัญหาตั๋ว B/E ของผู้ประกอบการบางราย ผิดนัดชำระหนี้ เป็นการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของแต่ละบริษัทเอง ไม่ได้เป็นปัญหาเชิงระบบ-สำนักข่าวไทย