20 พ.ค. – กรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงผลการอายัดรถหรูเลี่ยงภาษีโครงข่ายตลาดเกรย์ มาร์เก็ต จำนวนกว่า 100 คัน ทำให้รัฐสูญรายได้ปีละหมื่นล้านบาท ซึ่งพฤติการณ์สำคัญ คือ จะแจ้งราคานำเข้าต่ำกว่าราคาจริง ทำให้อัตราการจ่ายภาษีต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และพบเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องนับร้อยคน
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าอายัดรถหรู ทั้งแลมโบร์กินี, เฟอร์รารี่, โลตัส, แม็คคลาเรน และยี่ห้ออื่นๆ รวมกว่า 122 คัน ภายในโชว์รูมชื่อดังรวมกว่า 9 จุด รวมมูลค่ากว่า 2,400 ล้านบาท และขยายผลตรวจสอบผู้กระทำความผิดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และคิดอัตราภาษีส่วนที่ขาดหายไป โดยเบื้องต้นพบว่าในกรณีนี้ทำให้รัฐสูญเสียภาษีไปกว่าปีละกว่า 10,000 ล้านบาท โดยบรรดารถหรูในขบวนการจะสำแดงราคาแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ ของราคาซื้อขายจากต้นทาง ทำให้สามารถหลบเสี่ยงภาษีได้เฉลี่ยคันละประมาณ 10-18 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับราคาของรถ อีกทั้งยังพบเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งระดับปฏิบัติการและระดับหัวหน้าส่วนราชการ รวมทั้งหมด 110 คน ซึ่้งได้ส่งรายชื่อให้ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเอาผิดทางอาญาแล้ว
สำหรับพฤติการณ์ของบริษัทนำเข้ารถลักษณะนี้จะอาศัยช่องว่างจากข้อยกเว้นกรมศุลกากร ที่ให้เจ้าหน้าที่รับฟังราคาจากใบอินวอยซ์ (Invoice) หรือใบข้อมูลการซื้อขาย ซึ่งราคาที่ระบุจะต่ำกว่าราคาที่ออกมาจากผู้ผลิต เช่น ราคาจากบริษัทผู้ผลิตตั้งไว้ที่ 200,000 ยูโร อาจถูกเปลี่ยนให้เหลือเพียง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้การคำนวณภาษีถูกบิดเบือนไป
สำหรับกรณีนี้ดีเอสไอได้ร่วมมือกับรัฐบาลอิตาลีสืบสวนหาข้อมูลจนทราบราคาขายที่แท้จริง โดยจะเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีที่ยังไม่หมดอายุความ และเตรียมเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง เบื้องต้นยังมีอีกหลายกลุ่มที่มีพฤติการณ์คล้ายกัน แต่ไม่สามารถให้ข้อมูลได้
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ได้สอบถามข้อมูลเชิงลึกกับ พ.ต.ท.กรวัชร ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ ว่า เป็นไปได้หรือที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะไม่ทราบราคาจริงของรถแต่ละรุ่น? ซึ่ง พ.ต.ท.กรวัชร บอกสั้นๆ ว่า “ตรงนี้ขอไม่ก้าวล่วง แต่หากพบข้อมูลว่าหน่วยงานรัฐมีความผิด จะดำเนินคดีถึงที่สุด”. -สำนักข่าวไทย