กรมประมง 18 เม.ย. – กรมประมง-ศปมผ.ตั้งคณะทำงานสอบส่วยประมงภายใน 7 วัน หลังชาวประมงร้องเรียนจ่ายเจ้าหน้าที่เอื้อทำประมงผิดกฎหมาย ยอมรับอดีตมีเจ้าหน้าที่รับส่วย 5,000- 300,000 บาท
นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง แถลงชี้แจงกรณีมีชาวประมงร้องเรียนว่าจ่ายเงินสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อเอื้อต่อการทำประมงผิดกฎหมาย ว่า ขณะนี้ตั้งคณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน เพื่อสืบสวนประเด็นที่เกี่ยวข้องว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ หากพบเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการสอบทางวินัย สำหรับภาพรวมช่วงเดือนตุลาคม 2559 ถึงปัจจุบันตรวจจับไปแล้วกว่า 500 ครั้ง มีข้อมูลผู้กระทำผิด 254 เรื่อง
“ปัจจุบันเรือประมงถูกจับมาก คือ ห้ามใช้เครื่องมือที่ห้ามใช้ในเขตทะเลชายฝั่งใกล้ 3 ไมล์ทะเล แต่การจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ ที่ผ่านมาเมื่อมีการร้องเรียนเกิดขึ้นเมื่อถึงขั้นตอนขอหลักฐานชาวประมงหลายรายไม่มีหลักฐานและไม่กล้าให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่ เพราะเขาก็ถือเป็นผู้กระทำผิดด้วย ทำให้การตรวจสอบเชิงลึกของเจ้าหน้าที่ยากและแทบตรวจสอบไม่ได้ ที่ผ่านมาตรวจสอบพบบ้าง ไม่พบบ้าง แต่หากสื่อมวลชนหรือ ประมงคนใดถ่ายภาพ ถ่ายคลิปไว้ ก็ช่วยนำส่งมาให้ได้ จะได้นำไปดำเนินการตรวจสอบ” นายอดิศร กล่าว
พล.ร.ท.วรรณพล กล่อมแก้ว รองหัวหน้าสำนักงานและเลขานุการศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมามีชาวประมงโทรศัพท์แจ้งโดยตรงต่อ ศปมผ. ซึ่งกลุ่มแรกเป็นเรือประมงประเภทปลากระตัก ระบุว่าจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ เพื่อนำเรือไปล้อมจับปลาช่วงเวลากลางคืน ซึ่งตามกฎไม่สามรถออกหาปลาได้ ส่วนอีกกลุ่มเป็นเรื่องน้ำหนักมากกว่า 30 ตันกรอส แต่ไม่ต้องการแจ้งขึ้นทะเบียนที่ศูนย์ควบคุมแจ้งเข้าแจ้งออก (PIPO) ตามที่กฎหมายกำหนด จึงแจ้งว่าจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ เพราะอ้างว่ามีเส้นสายดี
“เหตุการณ์ปัจจุบันยังไม่ยืนยันว่าเป็นอย่างไร แต่ในอดีตเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งการจ่ายส่วยเคยทราบว่ามีตั้งแต่ราคา 5,000 – 300,000 บาทต่อลำ บางรายจ่ายเป็นต่อเดือน แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเนื่องจากเกรงว่าจะมีผลต่อการสอบสวน” พล.ร.ท.วรรณพล กล่าว
พล.ร.ท.วรรณพล กล่าวด้วยว่า สำหรับพื้นที่ที่พบการร้องเรียนมีทั่วไป แต่ภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบนเป็นพื้นที่ที่จับตามากที่สุด ซึ่งต้องขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบ จากนั้นเชื่อว่ารายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันหรือเชื่อมโยงน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น.- สำนักข่าวไทย