ปอท. เตือน! “วันโกหก” โพสต์-แชร์ข่าวปลอม มีโทษหนัก

ปอท. เตือน! April Fool’s Day 1 เมษายน วันโกหก โพสต์-แชร์ข่าวปลอม ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิด มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โทษหนัก

จีนกล่าวหาบีบีซีรายงานข่าวปลอม

ปักกิ่ง 5 ก.พ. – บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ หรือ บีบีซี ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ของเจ้าหน้าที่จีนและสื่อสังคมออนไลน์จีน ที่ทำให้ข้อพิพาททางการทูตระหว่างทั้งสองฝ่ายทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจาก 1 วันก่อนหน้านี้ อังกฤษเพิกถอนใบอนุญาตโทรทัศน์ของ ซีจีทีเอ็น โทรทัศน์ทางการของจีน อังกฤษกับจีนมีปมขัดแย้งกันมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จีนใช้กำลังปราบปรามและลงโทษผู้เห็นต่างในฮ่องกง ความกังวลด้านความปลอดภัยในเทคโนโลยีของหัวเว่ย บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน รวมถึงการดูแลชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีน ขณะที่ออฟคอม (Ofcom) หน่วยงานกำกับดูแลสื่อของอังกฤษสั่งเพิกถอนใบอนุญาตสถานีโทรทัศน์ซีจีทีเอ็น ซึ่งเป็นช่องรายการข่าวโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือซีซีทีวี หลังจากที่ได้ข้อสรุปว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีอำนาจสูงสุดในงานด้านบรรณาธิการข่าวของสถานีดังกล่าว นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์เทเลกราฟของอังกฤษยังรายงานว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาอังกฤษได้ส่งตัวสายลับจีน 3 คนที่ใช้วีซ่าสื่อมวลชนบังหน้ากลับประเทศ ในขณะเดียวกัน กระทรวงต่างประเทศของจีนได้ออกแถลงการณ์กล่าวหาบีบีซีว่า รายงานข่าวปลอมเกี่ยวกับสถานการณ์โรควิด-19 ในจีน และเรียกร้องให้บีบีซีออกมาขอโทษ ทั้งยังระบุว่า บีบีซี นำเรื่องโรคโควิด-19 มาโยงกับการเมือง คำวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวของกระทรวงต่างประเทศจีนกลายเป็นที่กล่าวถึงจนติดอันดับต้น ๆ ของเวย์ปั๋วที่เป็นแพลตฟอร์มคล้ายทวิตเตอร์ของจีน ขณะที่บีบีซีระบุว่า รายงานข่าวที่เกิดขึ้นมีความเป็นกลางและปราศจากอคติ ก่อนหน้านี้ บีบีซีได้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหลังรายงานว่า ผู้หญิงในค่ายกักกันของชนกลุ่มน้อยอุยกูร์และชาวมุสลิมอื่น ๆ ที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ถูกข่มขืนและทารุณกรรม.-สำนักข่าวไทย

ตร. เตือนอย่าสร้างข่าวปลอม ซ้ำเติมช่วงโควิด-19

รอง โฆษก ตร. เตือนอย่าซ้ำเติมช่วงโควิด-19 ด้วยการสร้างข่าวปลอม ฝากประชาชนก่อนแชร์ข้อความควรตรวจสอบให้ดี เพราะอาจตกเป็นเหยื่อหรืออาจสร้างความสับสนแก่ผู้อื่น

หยุดแชร์ข่าวปลอม! เตรียมยึดคืนใบขับขี่ตลอดชีพ

กทม. 26 ธ.ค. – กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือหยุดแชร์ข่าวปลอมยึดคืนใบขับขี่ตลอดชีพ ยืนยันยังใช้ได้ตามปกติ ไม่มีการยึดคืน ไม่มีการเรียกมาอบรมหรือทดสอบใหม่แต่อย่างใด นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรณีที่มีการแชร์ข้อความว่าผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถตลอดชีพ ต้องโดนยึดใบอนุญาตขับรถ และให้เข้ามาทดสอบสมรรถภาพของร่างกายใหม่ หรือทดสอบขับรถใหม่ กรมการขนส่งทางบกขอชี้แจงว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการนำข่าวปลอมเก่าที่มีการแชร์เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 มาแชร์ซ้ำ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หยุดเผยแพร่ส่งต่อข้อความดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนเป็นวงกว้างต่อไป อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ยืนยันไม่มีการยึดคืนใบอนุญาตขับรถตลอดชีพ และไม่มีการเรียกผู้มีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพทั้งหมดมาทดสอบสมรรถภาพของร่างกายใหม่ หรือทดสอบขับรถใหม่ตามข้อมูลที่มีการแชร์กัน รวมถึงไม่มีนโยบายยกเลิกหรือบังคับให้เปลี่ยนใบอนุญาตขับรถตลอดชีพแบบกระดาษให้เป็นแบบสมาร์ทการ์ด (Smart card) แต่อย่างใด ปัจจุบันยังคงใช้ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามปกติ อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่มีใบอนุญาตขับรถตลอดชีพแบบกระดาษ ต้องการเปลี่ยนให้เป็นแบบสมาร์ทการ์ด กรมการขนส่งทางบกพร้อมดำเนินการให้โดยสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ และเมื่อเปลี่ยนเป็นแบบสมาร์ทการ์ดจะยังคงได้รับใบอนุญาตขับรถตลอดชีพเช่นเดิม กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถ สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือสืบค้นข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก https://www.dlt.go.th/th/ ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแนวทางยกระดับมาตรฐานการออกใบอนุญาตขับรถใน 7 มิติ ประกอบด้วย การกำหนดสภาวะโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถ การทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย การอบรมและทดสอบความรู้ของผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถ (ภาคทฤษฎี) การอบรมการขับรถและทดสอบความสามารถในการขับรถภาคปฏิบัติ การบริหารจัดการ การปรับปรุงรูปแบบใบอนุญาตขับรถให้สอดคล้องกับอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการจราจรทางถนน และการควบคุมพฤติกรรมการขับรถด้วยมาตรการตัดแต้ม เพื่อพัฒนามาตรฐานใบอนุญาตขับรถของประเทศไทยให้ครอบคลุมทุกมิติ […]

อย่าเชื่อ! ข่าวปลอม “มาแล้วลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่”

เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม (Fake News) เรื่อง “มาแล้วลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่ของขวัญปีใหม่ 64”

รมว.ดีอีเอสย้ำบังคับใช้กฎหมายต้านข่าวปลอม

กรุงเทพฯ 2 พ.ย. พุทธิพงษ์ ขอทุกภาคส่วนร่วมมือสร้างการรับรู้เท่าทันข่าวปลอม ยืนยัน บังคับใช้กฎหมายกับผู้ใช้โซเชียล ที่สร้างข่าวบิดเบือนส่งผลกระทบกับสังคม ย้ำใช้สื่อออนไลน์ด้วยความระมัดระวัง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า การสัมมนา “สร้างการรับรู้ เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม ครั้งที่ 3”ที่จ.พังงาครั้งนี้ จัดภายใต้โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม มีกลุ่มเป้าหมายที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคใต้ บุคลากรด้านสาธารณสุข ภาคสังคม สื่อมวลชน และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในกระบวนการตรวจสอบข่าวปลอมได้ด้วยตนเอง วิธีเช็คแหล่งที่มา วิธีสังเกตหัวข้อพาดหัวข่าว และได้ทราบถึงการแจ้งเบาะแสให้กับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม  สำหรับผลการดำเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตั้งแต่วันจัดตั้งศูนย์ฯ ถึงช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา (1 พ.ย.62-28 ต.ค.63) จากการรวบรวมข้อมูลทั้งจากที่มีผู้แจ้งเบาะแสเข้ามา และระบบติดตามการสนทนาทางโซเชียล (Social listening) พบว่า มีจำนวนข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด 25,835,350 ข้อความ ข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 19,466 ข้อความ โดยมีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 6,826 เรื่อง ในจำนวนนี้ร้อยละ 56 เป็นข่าวในหมวดสุขภาพ ตามมาด้วยหมวดนโยบายรัฐ 2,620 เรื่อง ร้อยละ38 ,  หมวดเศรษฐกิจ 251 เรื่องร้อยละ 4 และหมวดภัยพิบัติ 143 เรื่อง ร้อยละ 2 ทั้งนี้ กระทรวงฯ มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าการทำงานเชิงรุก เพื่อเร่งทำการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ผ่านกลไกการทำงานทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทำให้เกิดแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม และให้ข้อมูลที่ถูกต้องเข้าถึงประชาชนในวงกว้างมากยิ่งขึ้น  “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม จริงๆ แล้ว ผมเป็นคนแรกที่ได้คิดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เนื่องจากพบว่าในต่างประเทศมีการจัดตั้งแล้ว แต่ไทยยังไม่มี จึงเริ่มให้เกิดขึ้นเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้ ไม่สร้างความตื่นตระหนกหรือสร้างความเสียหายให้แก่สังคมในวงกว้าง  แต่ข่าวที่เกิดขึ้น กระทรวงดิจิทัลฯ ไม่สามารถจะตอบข้อสงสัยได้ทั้งหมดว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนปลอม จำเป็นต้องประสานข้อมูลจากหน่วยงาน และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ช่วยยืนยันข้อเท็จจริง ให้ทันเวลาในการชี้แจงให้ประชาชนรู้เท่าทัน เพื่อลดความตื่นตระหนกของประชาชนให้ได้ทันท่วงที ภายใน 2 ชั่วโมง  นอกจากนี้ ยังมีช่องทางเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” ในการให้ประชาชนแจ้งข้อมูลข้อความที่ไม่เหมาะสมเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบ รวบรวมหลักฐานส่งศาลให้พิจารณาปิดกั้น หรือ ลบข้อมูลนั้น ภายใน 48 ชั่วโมง  จากนั้นหากแพลตฟอร์มไม่ดำเนินการปิดกั้น หรือลบข้อมูลที่ผิดกฎหมาย ภายใน 15 วัน  กระทรวง และเจ้าหน้าที่จึงดำเนินการนำคำสั่งศาลยื่นฟ้องแพลตฟอร์มต่างประเทศ ที่ถือเป็นครั้งแรกของไทย ที่จริงจังในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิด   ทั้งนี้ แม้ว่าแพลตฟอร์มต่างประเทศใช้ระบบทำงานในประเทศไทย  ก็ต้องยอมรับ เคารพ และปฏิบัติตามกฎหมายของไทยด้วย” นายพุทธิพงษ์กล่าว ขณะที่ นายภุชพงค์  โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กล่าวว่าการจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้ฯ ในภาคใต้ครั้งนี้ จะเป็นอีกกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนการตรวจสอบเฝ้าระวังการเผยแพร่ข้อมูลเนื้อหา และข่าวสารที่เผยแพร่อยู่ในอินเทอร์เน็ต ที่พบว่ามีทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม และข่าวบิดเบือน จึงต้องให้ความรู้ความเข้าใจประชาชนให้รู้เท่าทัน ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้ช่วยสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มวัยรุ่นนักศึกษา วัยทำงาน ผู้สูงอายุ หน่วยงานต่างจังหวัดและประชาชนทั่วไป ตลอดจนหน่วยงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้องทำให้การบูรณาการการทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ทำงานตามข้อเท็จจริง ไม่เลือกฝ่าย เลือกข้าง  ทั้งนี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเป็นหน่วยเฉพาะกิจ ในการดำเนินงานเชิงรุกป้องกันข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและปัญหาข่าวปลอมอันจะทำให้ภาครัฐสามารถชี้แจงทำความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อให้เกิดความมั่นคงและความไว้วางใจในการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและสารสนเทศ-สำนักข่าวไทย.

“พล.อ.ประวิตร” ย้ำ ก.ดิจิทัล สกัดเฟคนิวส์

สำนักข่าวไทย 29 ต.ค.- “พล.อ.ประวิตร” ย้ำ ก.ดิจิทัล เร่งกำจัดเฟคนิวส์ นำเทคโนโลยีช่วยประชาชนมีงานทำ เสริมรายได้ สร้างการรับรู้อย่างเท่าเทียม วันนี้ 29 ต.ค. 63 เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมามอบนโยบายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ให้การต้อนรับ ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าตามการมอบนโยบาย ของรองนายกรัฐมนตรี จากนั้น พลเอกประวิตร ได้กล่าว ขอบคุณ สำหรับการต้อนรับ และขอชื่นชมผลการดำเนินงาน ซึ่งได้สนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลเป็นอย่างดี ​กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นกำลังสำคัญของรัฐบาลในการดำเนินการ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ​จึงขอให้ไปดำเนินการในด้านต่างๆ ดังนี้ ด้านสังคม รวมทั้ง ความมั่นคง ช่วยกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสเป็นพิเศษ โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เข้าถึงและสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม. เร่งทำการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม หรือ […]

ชัวร์ก่อนแชร์ FACT CHECK EXPERT : ความหมายของ “ข่าวปลอม” ?

ชัวร์ก่อนแชร์ วันนี้พบกับ ตอนแรกของเนื้อหาใหม่ชุดพิเศษ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันข่าวปลอมข้อมูลเท็จ ผ่านการเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ ที่จะชวนคุณผู้ชมทุกท่านมีส่วนร่วม โดยใช้มือถือสแกน QR Code ใน FACT CHECK EXPERT

ยังไม่มีงานวิจัยยืนยัน “จิบน้ำขมิ้นชันป้องกันมะเร็ง”

กรมการแพทย์ 30ก.ค.-ตามที่มีข่าวปรากฏผ่านสื่อ “จิบน้ำขมิ้นชันป้องกันมะเร็ง” สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตรวจสอบข้อมูลวิชาการพบข้อเท็จจริง คือยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าน้ำขมิ้นชันช่วยป้องกันมะเร็ง นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ขมิ้นชัน (Curcuma longa L.) เป็นพืชสมุนไพรนิยมใช้เป็นเครื่องเทศสำหรับแต่งรสและสีผสมอาหาร ขมิ้นชันมีสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและอาจมีส่วนช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งผิวหนัง ซึ่งผลการศึกษานี้เป็นเพียงผลวิจัยในระดับเซลล์และสัตว์ทดลอง อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานวิจัยที่ทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสารนี้ช่วยป้องกันหรือรักษามะเร็ง นอกจากนี้การดื่มน้ำขมิ้นชันอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการป้องกันมะเร็ง หากประชาชนยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือรับประทานอาหารที่อาจปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ขมิ้นชันมีหลายรูปแบบ เช่น เหง้าสด เหง้าแห้ง ผง แคปซูล ยาเม็ด ยาทาผิวหนัง และเครื่องดื่มชาขมิ้นชัน แม้ว่าจะเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไปเพราะอาจส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์ก่อนรับประทาน .-สำนักข่าวไทย

1 4 5 6 7 8 11
...