12 เมษายน 2566
แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ข้อมูลที่ถูกแชร์ :
มีข้อมูลสร้างความเข้าใจผิดเผยแพร่ทางเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างงานวิจัยที่พบว่า ลูกหนูที่เกิดจากแม่หนูที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท Pfizer-BioNTech มีความเสี่ยงเป็นออทิสติกมากกว่าลูกหนูที่เกิดจากแม่ที่ไม่ฉีดวัคซีน นำไปสู่การอ้างอย่างผิด ๆ ว่าวัคซีนโควิด-19 เพิ่มความเสี่ยงเป็นออทิสติกหากมีการฉีดในสตรีมีครรภ์เช่นเดียวกัน
บทสรุป :
- เป็นการวิจัยในหนูทดลอง ผู้วิจัยย้ำว่าไม่อาจนำผลมาเปรียบเทียบกับการฉีดวัคซีนในมนุษย์ได้
- เป็นการวิจัยที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ให้ปริมาณวัคซีนกับหนูทดลองเท่ากับปริมาณที่ใช้กับมนุษย์
FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :
ที่มาของงานวิจัย
งานวิจัยที่กล่าวอ้าง เป็นผลงานของนักวิจัยจากประเทศตุรกี ตีพิมพ์ทางวารสาร Neurochemical Research เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2024
ทีมวิจัยตั้งสมมติฐานว่า โปรตีนหนามจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือจากวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA อาจส่งผลต่อการอักเสบในร่างกาย นำไปสู่ผลกระทบต่อการพัฒนาระบบประสาท โดยเฉพาะในช่วงการเจริญเติบโตของตัวอ่อน ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกที่เกิดมามีอาการออทิสติกได้
ทีมวิจัยนำหนูทดลองเพศเมียจำนวน 15 ตัวไปผสมพันธุ์หนูเพศผู้จำนวน 5 ตัว
หลังจากหนูตั้งท้องได้ 13 วัน จึงแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม ครึ่งหนึ่งได้รับวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท Pfizer-BioNTech ส่วนครึ่งหนึ่งได้รับน้ำเกลือเป็นยาหลอก
หลังจากลูกหนู 41 ตัวเกิดมาได้ 21 วัน จึงแยกหนูออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ หนูเพศผู้ที่ได้รับวัคซีน หนูเพศผู้ที่ได้รับยาหลอก หนูเพศเมียที่ได้รับวัคซีน หนูเพศเมียที่ได้รับยาหลอก
ผ่านไป 50 วัน จึงนำหนูทั้ง 4 กลุ่มมาทดสอบพฤติกรรมต่าง ๆ อาทิ พฤติกรรมทางสังคม ความกระตือรือร้นต่อสิ่งแปลกใหม่ และทักษะการพัฒนากล้ามเนื้อ
เมื่อการทดสอบเสร็จสิ้นลง ลูกหนูทดลองทั้ง 41 ตัวจะถูกการุณยฆาต ก่อนนำสมองออกมาตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อสำรวจปริมาณของไซโตไคน์ชนิดต่าง ๆ (Cytokine) ซึ่งเป็นกลุ่มโปรตีนในระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อและการอักเสบ
การสำรวจไม่พบว่าหนูกลุ่มที่แม่ได้รับวัคซีนและหนูกลุ่มที่แม่ได้รัยยาหลอก มีปริมาณไซโตไคน์ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
การตรวจสอบเซลล์ประสาทในสมองพบว่า หนูทดลองเพศผู้ที่แม่ได้รับวัคซีน มีเซลล์ประสาทน้อยกว่าหนูทดลองเพศผู้ที่แม่ได้รับยาหลอก อย่างไรก็ดี ไม่พบความแตกต่างในหนูทดลองเพศเมียทั้งกลุ่มที่แม่ได้รับวัคซีนหรือยาหลอก
ทีมวิจัยยังพบว่า หนูทดลองเพศผู้ที่แม่ได้รับวัคซีน ขาดทักษะในการเข้าสังคม และไม่มีความกระตือรือร้นเมื่อเจอหนูจากครอกอื่น ซึ่งผู้วิจัยเปรียบเทียบได้กับพฤติกรรมของเด็กที่เป็นออทิสติก
อย่างไรก็ดี ไม่พบความแตกต่างด้านพฤติกรรมในหนูทดลองเพศเมีย ทั้งกลุ่มที่แม่ได้รับวัคซีนหรือยาหลอก
ผลจากการทดลอง ทีมวิจัยจึงสรุปว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ส่งผลให้หนูทดลองเพศผู้ซึ่งเกิดจากแม่หนูที่ได้รับวัคซีน จะมีอาการคล้ายออทิสติก แต่ย้ำว่าผลวิจัยกับสัตว์ทดลอง ไม่สามารถอ้างอิงกับผลที่จะเกิดกับมนุษย์ได้
มูมิน อัลเปอร์ เออร์โดกัน รองศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยอิซเมียร์ คาทิป เซเลบี หนึ่งในทีมวิจัยชี้แจงต่อเว็บไซต์ Health Feedback ว่า จุดประสงค์ของงานวิจัย ไม่ได้ต้องการต่อต้านการฉีดวัคซีนโควิด-19 การนำผลวิจัยไปเผยแพร่เพื่อสนับสนุนความคิดส่วนตัวหรือเพื่อการใส่ร้ายทางออนไลน์ สำหรับเขาคือสิ่งไม่ถูกต้อง
ข้อจำกัดของงานวิจัย
นอกจากนี้ เมื่อนำเนื้อหาการวิจัยไปสอบถามความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่างานวิจัยชิ้นนี้เต็มไปด้วยข้อจำกัดที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือหลายประการ
- ปริมาณวัคซีนที่ใช้กับหนูเท่ากับฉีดในมนุษย์
ทีมวิจัยใช้วัคซีนโควิด-19 ของบริษัท Pfizer-BioNTech ปริมาณ 30 ไมโครกรัมต่อหนูทดลองหนึ่งตัว ซึ่งเป็นปริมาณเทียบเท่ากับที่ใช้สำหรับผู้ใหญ่ 1 คน เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวแล้ว เท่ากับว่าหนูทดลองได้รับปริมาณวัคซีนโควิด-19 มากกว่าที่มนุษย์ได้รับประมาณ 300 เท่า
นอกจากนี้ ข้อจำกัดเรื่องปริมาณวัคซีนในการทดลอง ยังไม่ถูกกล่าวไว้ในงานวิจัยอีกด้วย
มูมิน อัลเปอร์ เออร์โดกัน หนึ่งในทีมวิจัยอ้างว่า เหตุผลที่ใช้ปริมาณวัคซีนเท่ากับมนุษย์ เพราะไม่มีการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับปริมาณวัคซีน mRNA ที่ใช้ในหนูทดลอง นอกจากนี้ ปริมาณวัคซีนทั่วไปสำหรับใช้สร้างภูมิคุ้มกันในสัตว์หลาย ๆ ชนิด เช่น ไก่ สุกร อูฐ ก็อยู่ที่ปริมาณ 30-40 ไมโครกรัม ไม่ว่าสัตว์จะมีน้ำหนักตัวเท่าใด
สเตซี บิลโบ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบภูมิคุ้มกันทางระบบประสาท มหาวิทยาลัยดุ๊ก สหรัฐอเมริกา อธิบายว่า ปริมาณวัคซีนแต่ละชนิดต้องผ่านการคำนวณมาอย่างละเอียด เพื่อให้ใช้วัคซีนในปริมาณน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ ดังนั้นการฉีดวัคซีนในปริมาณที่มากกว่าปกติถึง 300 เท่า การพบการเปลี่ยนแปลงในการทดลองจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
เจฟฟรีย์ มอร์ริส ผู้อำนวยการศูนย์ชีวสถิติ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา อธิบายต่อ FactCheck.org ว่า ปริมาณโดสของวัคซีนในหนูทดลองที่สูงถึง 300 เท่าเมื่อเทียบกับน้ำหนักของมนุษย์ ทำให้ผลวิจัยไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับผลที่จะเกิดกับมนุษย์ได้ หากเขาเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องของงานวิจัย เขาจะบอกให้ผู้วิจัยเน้นถึงปริมาณวัคซีนเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณที่ใช้กับมนุษย์ และย้ำว่าสิ่งนี้คือเหตุผลสำคัญที่ไม่อาจนำผลวิจัยมาเปลี่ยนเทียบกับสิ่งที่จะเกิดกับคนที่ได้รับวัคซีนเช่นกัน
- กลุ่มตัวอย่างน้อยเกินไป
การทดลองครั้งนี้ ใช้หนูในการทดสอบปฏิกิริยาชีวเคมีเพียงแค่ 7 ตัว คือหนูเพศผู้ที่ได้รับยาหลอก 3 ตัว และหนูเพศผู้ที่ได้รับวัคซีน 4 ตัว ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
- ไม่ใช่การทดลองแบบ Blind Test
ในงานวิจัยไม่ได้ระบุว่า การทดลองเป็นแบบ Blind Test ทำให้ผู้วิจัยรู้ว่าหนูทดลองแต่ละกลุ่มได้รับวัคซีนหรือไม่ อาจนำมาซึ่งความลำเอียงระหว่างการสังเกตพฤติกรรมหนูทดลอง
การไม่ระบุตัวแปรของการทดลอง
เทเรซา เรเยส ศาสตราจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยาและสรีรวิทยาระบบ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยซินซินแนติ สหรัฐอเมริกา ชี้แจงว่า ยังมีตัวแปรสำคัญ 3 อย่างที่ไม่ได้รับคำอธิบายจากงานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่
- ระยะเวลาตั้งครรภ์ของแม่หนูทดลอง
หากระยะเวลาตั้งครรภ์มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ หนูที่มีความผิดปกติจากการคลอดก่อนกำหนด อาจมีปัจจัยจากอายุครรภ์ของแม่หนูมากกว่าการฉีดวัคซีน
- น้ำหนักตัวของแม่หนูทดลอง
หากน้ำหนักตัวของแม่หนูทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ อาจบ่งบอกถึงการป่วยหนักของแม่หนูที่ได้รับวัคซีน ซึ่งอาจส่งผลต่อการทดลองเช่นกัน
- Litter Effects พฤติกรรมคล้ายกันของสัตว์จากครอกเดียวกัน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือการที่หนูทดลองในกลุ่มเดียวกันมีพฤติกรรมคล้ายกัน อาจมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Litter Effects หรือพฤติกรรมคล้ายกันของสัตว์จากครอกเดียวกัน มากกว่าอิทธิพลจากวัคซีน
คริสโตเฟอร์ โค ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตประสาทภูมิคุ้มกันวิทยา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ผู้มีผลงานศึกษาผลกระทบจากการติดเชื้อและการอักเสบระหว่างการตั้งครรภ์ต่อตัวอ่อน ยอมรับว่า หากเขาร่วมทดลองในงานวิจัยครั้งนี้ เขาจะเพิ่มกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับวัคซีนโดสต่ำ เพื่อดูว่าปริมาณของวัคซีนมีผลต่อหนูทดลองแค่ไหน
คริสโตเฟอร์ โค ย้ำว่า ผู้วิจัยและนักวิชาการที่ตรวจสอบงานวิจัย ควรจะทำการทดลองซ้ำเพื่อยืนยันผลวิจัย แทนที่จะรีบตีพิมพ์งานวิจัยที่ไม่สมบูรณ์จากการทดลองเพียงแค่ครั้งเดียว
ผลประโยชน์ทับซ้อน
นอกจากนี้ Health Feedback ยังพบว่า ทีมวิจัยไม่ได้ระบุผลประโยชน์ทับซ้อนในงานวิจัย ทั้ง ๆ ที่มีการใช้ซอฟต์แวร์และระบบวิเคราะห์พฤติกรรมด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ร่วมพัฒนาโดย มูมิน อัลเปอร์ เออร์โดกัน หนึ่งในผู้วิจัย มาใช้เพื่อศึกษาพฤติกรรมของหนู
ซึ่งผู้วิจัยยอมรับว่าจะระบุผลประโยชน์ทับซ้อนส่งในงานวิจัยฉบับแก้ไขต่อไป
ปัจจัยเสี่ยงออทิสติก
ความเสี่ยงการป่วยเป็นโรคออทิสติกมาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งจากพันธุกรรมและตัวแปรอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดจากพ่อแม่สูงวัย การคลอดก่อนกำหนดชนิด Extreme Prematurity หรืออายุครรภ์ไม่ถึง 28 สัปดาห์ รวมถึงทารกที่เกิดมาด้วยน้ำหนักตัวน้อยผิดปกติ เป็นต้น
วัคซีนไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยงออทิสติก
แม้จะมีการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดว่าการฉีดวัคซีนในแม่และเด็ก เพิ่มความเสี่ยงการป่วยเป็นออทิสติก แต่การศึกษาวิจัยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สามารถยืนยันได้ว่าการฉีดวัคซีนไม่มีความสัมพันธ์ต่อการป่วยเป็นโรคออทิสติกในเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่หรือการฉีดวัคซีนรวมโรคคอตีบ โรคไอกรน และบาดทะยักระหว่างตั้งครรภ์ของมารดา
ในส่วนของวัคซีนโควิด-19 นอกจากจะไม่พบผลเสียของการฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์แล้ว การฉีดวัคซีนโควิด-19 ยังมีส่วนช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนดและการแท้งบุตรอีกด้วย
โฆษกของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ยืนยันว่า ข้อมูลความปลอดภัยจากการใช้วัคซีนในสหรัฐอเมริกายืนยันว่า วัคซีนชนิดไหน ๆ รวมถึงวัคซีนโควิด-19 ไม่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคออทิสติก
ข้อมูลอ้างอิง :
https://healthfeedback.org/claimreview/rat-study-alleged-link-covid-vaccines-autism-cannot-generalized-humans-important-limitations/
https://www.factcheck.org/2024/01/scicheck-viral-posts-misuse-rat-study-to-make-unfounded-claims-about-covid-19-vaccines-and-autism/
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter