ชัวร์ก่อนแชร์: ครีมกันแดดถูกเรียกคืนเพราะมีสารก่อมะเร็ง จริงหรือ?

23 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความปลอดภัยของครีมกันแดดเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยอ้างว่าในครีมกันแดดมีสารก่อมะเร็งอย่าง เบนซีน เป็นส่วนประกอบ นำไปสู่การเรียกคืนครีมกันแดดที่มีเบนซีนเป็นส่วนประกอบอย่างแพร่หลาย บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เบนซีน (Benzene) คือสารประกอบอินทรีย์ ใช้เป็นตัวทำละลายในการผลิตสารเคมีสำหรับภาคอุตสาหกรรม และเป็นส่วนประกอบในน้ำมันเชื้อเพลิง องค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เบนซีนเป็นสารก่อมะเร็งระดับที่ 1 การได้รับสารเบนซีนเป็นเวลานานทำให้เกิดผลกระทบต่อไขกระดูก อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางและมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ พบการปนเปื้อนเบนซีนในครีมกันแดด เมื่อปี 2021 ทางการสหรัฐฯ ได้ส่งผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดและผลิตภัณฑ์ดูแลหลังออกแดดจำนวน 294 ชุดจาก 69 แบรนด์ ไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ โดยพบว่า 78 ชุดหรือประมาณ 1 ใน 4 มีการปนเปื้อนเบนซีน ซึ่งส่วนใหญ่พบในครีมกันแดด ครีมกันแดดครึ่งหนึ่งพบปริมาณเบนซีนต่ำกว่า […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ครีมกันแดดเข้าสู่กระแสเลือด-ส่งผลต่อฮอร์โมน จริงหรือ?

23 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความปลอดภัยของครีมกันแดดเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ตรวจพบตัวยาของครีมกันแดดในกระแสเลือดของผู้ใช้ นำไปสู่การอ้างว่าสารเคมีในครีมกันแดดที่เข้าสู่กระแสเลือดมีฤทธิ์รบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ ส่งผลต่อความสมดุลของระดับฮอร์โมนในร่างกาย บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ข้อกล่าวหาอ้างถึงผลวิจัยขนาดเล็กขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) เมื่อปี 2019 ที่พบตัวยาสำคัญ (Active Ingredients) ในกระแสเลือดของผู้ใช้ครีมกันแดดในปริมาณมากกว่าที่เคยคาดไว้ แต่ FDA ยืนยันว่า การพบว่าตัวยาสำคัญของครีมกันแดดดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ไม่ได้หมายความว่าการใช้ครีมกันแดดไม่มีความปลอดภัย ดร.อดัม ฟรีดแมน หัวหน้าภาควิชาโรคผิวหนัง มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน ชี้แจงว่า การอ้างว่าครีมกันแดดไม่มีความปลอดภัยเพราะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเป็นการกล่าวอ้างที่เกินจริง การพบสารบางอย่างในกระแสเลือดยังบอกไม่ได้ว่าสิ่งนั้นปลอดภัยหรืออันตราย จนกว่าจะมีการศึกษาผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เดสมอนด์ โทบิน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคผิวหนัง มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน อธิบายว่า ก่อนจะตัดสินความปลอดภัยหรือผลเสียจากการใช้ครีมกันแดด วงการวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องตรวจสอบความปลอดภัยของส่วนผสมในครีมกันแดดอย่างรอบคอบ โดยคำนึงไปถึงผลจากการใช้ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ความกังวลต่อสาร Oxybenzone […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ครีมกันแดดทำให้ขาดวิตามินดี จริงหรือ?

23 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความปลอดภัยของครีมกันแดดเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยอ้างว่าการใช้ครีมกันแดดคือสาเหตุของภาวะขาดวิตามินดี (Vitamin D Deficiency) เนื่องจากครีมกันแดดจะป้องกันกระบวนการสังเคราะห์วิตามินดีบนผิวหนัง ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม และเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : บทบาทการสังเคราะห์วิตามินดีจากผิวหนัง วิตามินดี เป็นทั้งวิตามินและฮอร์โมนที่สำคัญต่อร่างกาย มีหน้าที่ดูดซึมแคลเซียม เสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน ปรับสมดุลของระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระแสเลือด ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท และระบบภูมิคุ้มกันเป็นไปอย่างปกติ แหล่งวิตามินดีสำคัญของมนุษย์คือการสังเคราะห์รังสียูวีบีจากแสงแดดบริเวณผิวหนัง การไม่ได้รับแสงแดดเป็นเวลานานอาจส่งผลให้ระดับวิตามินดีในร่างกายขาดแคลน ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อเสื่อมสภาพ รวมถึงสาเหตุการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การศึกษาทั้งจากการสังเกตการณ์และทางระบาดวิทยา ไม่พบว่าการใช้ครีมกันแดดมีความสัมพันธ์กับภาวะขาดวิตามินดีแต่อย่างใด แม้ตามทฤษฎีแล้ว การทาครีมกันแดดจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีลดลง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทาครีมกันแดดไม่สามารถป้องกันผิวจากรังสียูวีบีได้ทั้งหมด และรังสียูวีบีเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอสำหรับใช้สังเคราะห์วิตามินดีในปริมาณที่จำเป็นต่อร่างกายได้ ระยะเวลาตากแดดเพื่อสร้างวิตามินดี องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ในช่วงฤดูร้อน การรับแดดที่บริเวณใบหน้า […]

ชัวร์ก่อนแชร์: มะเร็งผิวหนังค้นพบหลังการผลิตครีมกันแดด จริงหรือ?

22 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความปลอดภัยของครีมกันแดดเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยอ้างว่ามนุษย์ใช้ชีวิตกลางแสงแดดมาตั้งแต่โบราณ กระทั่งมีการผลิตครีมกันแดด ผู้คนก็เริ่มป่วยเป็นมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะมะเร็งผิวหนังชนิดใหม่อย่างเมลาโนมา (Melanoma) ที่เพิ่งจะพบผู้ป่วยเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ช่วงเดียวกับที่ครีมกันแดดเริ่มเป็นที่นิยม บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : อย่างไรก็ดี โรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาถูกตรวจพบก่อนการผลิตครีมกันแดดนานนับพันปี ครั้งแรกที่มีการจดบันทึกเกี่ยวกับโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาจากบันทึกของฮิปโปเครตีส บิดาการแพทย์ชาวกรีกโบราณซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 460-375 ปีก่อนคริสตกาล เรเน เลนเนค แพทย์ชาวฝรั่งเศสผู้คิดค้นหูฟังทางการแพทย์ เป็นผู้บัญญัติชื่อโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาและบรรยายเกี่ยวกับมะเร็งเมลาโนมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1804 ส่วนครีมกันแดดเริ่มพัฒนาเมื่อปี 1890 โดยครีมกันแดดสมัยใหม่จะถูกคิดค้นโดย ฟรานซ์ ไกรเทอร์ นักเคมีชาวสวิสช่วงปลายทศวรรษ 1940s ความเสี่ยงมะเร็งผิวหนังจากรังสียูวี เมื่อปี 2009 องค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้รังสียูวีทั้งจากแสงอาทิตย์และรังสียูวีสังเคราะห์เป็นสารก่อมะเร็งระดับที่ 1 […]

Sunscreen Paradox ยิ่งใช้ครีมกันแดด ยิ่งเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง จริงหรือ?

21 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล หนึ่งในความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ป้องกันสุขภาพผิวอย่างครีมกันแดด คือความเชื่อว่าการใช้ครีมกันแดดเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง เมื่อมีข้อมูลทางสถิติพบจำนวนผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังมากขึ้นหลังครีมกันแดดเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย จนเป็นที่มาของข้อย้อนแย้งของครีมกันแดดหรือ Sunscreen Paradox Sunscreen Paradox มีที่มาจากผลสำรวจที่พบว่า นับตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดเริ่มใช้อย่างแพร่หลายช่วงทศวรรษที่ 1980s เป็นต้นมา กลับพบจำนวนผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังในกลุ่มผู้ใช้ครีมกันแดดมากกว่าประชากรทั่วไป จนเกิดข้อสรุปที่ผิดพลาดว่า ครีมกันแดดคือสาเหตุของการเกิดมะเร็งผิวหนัง การสำรวจความเห็นโดยสถาบันวิจัยมะเร็ง Orlando Health Cancer Institute เมื่อเดือนมีนาคม 2024 พบว่า ชาวอเมริกันอายุมากกว่า 18 ปีจำนวน 1,000 ราย มีอยู่ถึง 14% ของกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 35 ปีที่เชื่อว่า การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำส่งผลเสียต่อผิวหนังมากกว่าการตากแดด รังสียูวีจากดวงอาทิตย์ รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสีเหนือม่วง คือรังสีที่เกิดจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ แบ่งตามสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าได้ 3 ชนิด ได้แก่ UVC (คลื่นสั้น) UVB (คลื่นกลาง) […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ตระกูลมาร์กอสครอบครองทองคำ 1 ล้านตัน จริงหรือ?

20 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับความร่ำรวยของตระกูลมาร์กอส ตระกูลการเมืองของประเทศฟิลิปปินส์เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่า ที่มาความร่ำรวยของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส อดีตประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ แท้จริงแล้วมาจากการครอบครองทองคำปริมาณถึง 1 ล้านตัน และยังคงถูกเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของตระกูลจนถึงปัจจุบัน บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ตำนานทองคำตระกูลทัลลาโน ทฤษฎีสมคบคิดการครอบครองทองคำของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส มาจากเรื่องเล่าที่อ้างว่าก่อนที่ฟิลิปปินส์จะตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศสเปน กลุ่มคนที่มีอำนาจสูงสุดในแถบหมู่เกาะฟิลิปปินส์ได้แก่สมาชิกของตระกูลทัลลาโน เนื่องจากครอบครองทองคำเอาไว้จำนวนมาก ต่อมาสมาชิกของตระกูลทัลลาโนได้มอบทองคำจำนวนถึง 1 ล้านตันแก่ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส เพื่อตอบแทนการช่วยเหลือคนของตระกูลทัลลาโนในสมัยที่ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ยังทำงานเป็นทนายความ ผู้สนับสนุนตระกูลมาร์กอสมักนำตำนานมาอ้างว่าสิ่งนี้คือเบื้องหลังความร่ำรวยผิดปกติของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ทองคำทั้งโลกมีแค่ 2 แสนตัน อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก […]

Fort Knox คลังทองคำสุดลึกลับของสหรัฐฯ

19 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล หนึ่งในสถานที่ซึ่งได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาและเป็นความลับมากที่สุดในสหรัฐฯ คือคลังทองคำสำรอง Fort Knox สถานที่เก็บทองคำสำรองครึ่งหนึ่งของทองคำสำรองสหรัฐฯ การเป็นสถานที่หวงห้ามและเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าไปตรวจสอบเพียง 3 ครั้งในรอบ 88 ปีที่ผ่านมา นำไปสู่ทฤษฎีสมคบคิดว่า ทองคำใน Fort Knox อาจจะนำออกไปใช้ก่อนหน้านี้จนหมดแล้ว หรือถูกย้ายไปเก็บรักษาไว้ที่อื่น จนถึงข่าวลือว่าทองที่อยู่ในคลังอาจจะไม่ใช่ทองคำบริสุทธิ์ก็เป็นได้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คลังทองคำสำรอง Fort Knox กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และ อีลอน มัสก์ ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีในขณะนั้น แสดงความสนใจเปิดคลังทองคำสำรอง Fort Knox เพื่อพิสูจน์ว่าปริมาณทองคำสำรองครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ ยังมีอยู่จริงหรือไม่ แผนป้องกันทองคำสหรัฐฯ จากข้าศึก เมื่อปี 1935 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ มีแผนย้ายทองคำสำรองของชาติที่จัดเก็บในโรงกษาปณ์ตามเมืองใหญ่ทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกของประเทศ มาเก็บรักษายังสถานที่ซึ่งอยู่ใจกลางของประเทศ เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากข้าศึกที่ขึ้นบก สถานที่ที่เลือกใช้เก็บรักษาทองคำสำรองแห่งใหม่คือคลังทองคำที่อยู่ใกล้กับค่ายทหาร Fort Knox ทางตอนใต้ของเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี […]

ชัวร์ก่อนแชร์: XRF พิสูจน์ทองคำแค่ระดับพื้นผิว จริงหรือ?

18 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีการตั้งคำถามความแม่นยำในการตรวจสอบความบริสุทธิ์ของทองคำด้วยเครื่อง X-ray Fluorescence (XRF) โดยอ้างว่าเครื่อง XRF ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของทองคำแค่เพียงพื้นผิวเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันผลได้จริง บทสรุป : 1.เครื่อง X-ray Fluorescence สามารถยิงรังสีเอ็กซ์ทะลุทองคำ 24K ได้ประมาณ 10-15 ไมโครเมตร2.การใช้เครื่อง XRF ตรวจสอบทองคำอาจไม่แม่นยำ หากวัสดุแปลกปลอมอยู่ลึกกว่าระยะที่เครื่อง XRF ตรวจสอบได้ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เครื่อง X-ray Fluorescence (XRF) สามารถตรวจสอบได้ทั้งชนิดและปริมาณของธาตุที่อยู่ในทองคำ ทำงานด้วยการวัดปริมาณฟลูออเรสเซนต์ที่ปลดปล่อยมาจากธาตุองค์ประกอบที่อยู่ในทองคำ โดยที่เครื่องจะปล่อยรังสีเอ็กซ์จากหลอดรังสีไปที่ทองคำ ส่งผลให้ทองคำคายพลังงานออกมาในรูปฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งพลังงานที่คายออกมาจะมีความแตกต่างกันตามเอกลักษณ์เฉพาะของธาตุแต่ละชนิดที่อยู่ในทองคำ ระยะในการแทรกซึมของรังสีเอ็กซ์ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของทองคำ โดยทองคำ 24K จะมีระยะในการแทรกซึมของรังสีเอ็กซ์ประมาณ 10-15 ไมโครเมตร ทองปลอมที่เกิดจากการชุบทองด้านนอก […]

“ทังสเตน” โลหะสอดไส้ทองปลอม

17 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ในช่วงที่มีการระบาดของทองปลอมเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ความท้าทายของการตรวจสอบทองปลอมคือกระแสการนำ ทังสเตน โลหะที่มีคุณสมบัติคล้ายกับทองคำมาใช้ในการปลอมแปลง ทำให้ยากต่อการแยกแยะสำหรับประชาชนทั่วไป ความคล้ายคลึงระหว่าง ทังสเตน และ ทองคำ มาจากความหนาแน่นที่ใกล้เคียงกัน โดยทองคำมีความหนาแน่นประมาณ 19.3 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร ส่วน ทังสเตน มีความหนาแน่นประมาณ 19.25 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร ความหนาแน่นที่ใกล้เคียงกันมาก ทำให้ไม่สามารถแยกทองคำบริสุทธิ์และทองคำที่ผสมทังสเตนได้จากการชั่งน้ำหนักเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีราคาที่แตกต่างกันถึง 1,000 เท่า จึงเริ่มพบการนำทังสเตนมาผลิตทองปลอมอย่างแพร่หลายตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980’s เป็นต้นมา กระบวนการใช้ทังสเตนทำทองปลอมที่พบได้บ่อยคือการนำแผ่นทังสเตนมาชุบทอง หรือการนำทองแท่งมาเจาะรูตรงกลาง แล้วสอดไส้แท่งทังสเตนเข้าไปข้างใน คดีซื้อทองยัดไส้ทังสเตนในสหรัฐฯ เมื่อปี 2012 อิบราฮิม ฟาเดิล นักค้าทองรายย่อยต้องสูญเงินไปเกือบ 2 ล้านบาท เมื่อพบว่าทองแท่งน้ำหนัก 10 ออนซ์จำนวน 4 แท่งที่ซื้อจากแหล่งค้าทองเจ้าประจำ กลายเป็นทองคำสอดไส้ทังสเตน จากเดิมที่ซื้อมาในราคา 18,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ […]

6 เทคนิคพิชิต “ทองปลอม”

16 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ช่วงต้นปี 2025 เกิดภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจจากนโยบายสงครามการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ มีนักลงทุนไม่น้อยหันไปพึ่งพาทรัพย์สินที่มีความปลอดภัยสูง (Safe Haven) อย่าง ทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำช่วงต้นปี 2025 เพิ่มสูงกว่าปีก่อนถึงบาทละ 10,000 บาท ทำให้ตลาดการซื้อขายทองกลับมาคึกคักอย่างมากตลอดเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ผู้บริโภคต้องพึงระวังจากการลงทุนในทองแท่งหรือทองรูปพรรณ คือการตกเป็นเหยื่อทองปลอมที่ระบาดอยู่ในตลาดการซื้อขายทองคำในขณะนี้ ยังมีเทคนิคง่าย ๆ ช่วยตรวจสอบความบริสุทธิ์ของทองคำแท้ (23k และ 24k) ด้วยอุปกรณ์ที่มีอยู่ในบ้าน โดยไม่เสี่ยงอันตรายหรือสร้างความเสียหายต่อเนื้อทองคำ และยังช่วยป้องกันการตกเป็นเหยื่อการครอบครองทองปลอมโดยไม่ตั้งใจอีกด้วย 1.การจุ่มน้ำ ทองคำเป็นโลหะที่มีความหนาแน่นสูงกว่าน้ำและมีความถ่วงจำเพาะสูง เมื่อนำทองคำจุ่มลงในน้ำจะต้องจมเสมอ หากทองคำลอยอยู่บนผิวน้ำ ยืนยันได้ว่าทองคำดังกล่าวไม่ใช่ทองแท้ 2.การใช้แม่เหล็กดูด ทองคำเป็นโลหะที่ไม่มีคุณสมบัติดูดติดแม่เหล็ก การนำแม่เหล็กมาดูดกับทองคำจึงไม่ทำให้ทองคำเคลื่อนไหว หากทองคำเคลื่อนไหวตามแรงดึงดูดของแม่เหล็ก ยืนยันได้ว่าทองคำดังกล่าวไม่ใช่ทองแท้ 3.หยดน้ำส้มสายชู หยดน้ำส้มสายชู 2-3 หยดลงบนทองคำ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ทองคำแท้จะไม่ทำปฏิกิริยากับกรดของน้ำส้มสายชู แต่หากเนื้อทองเปลี่ยนสี ยืนยันได้ว่าทองคำดังกล่าวไม่ใช่ทองแท้ 4.ถูกับผิวหนัง การสวมใส่เครื่องประดับที่เป็นทองคำแท้ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: แนวคิดโลกกลมเผยแพร่มาจากวงการภาพยนตร์ จริงหรือ?

13 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับทฤษฎีโลกแบนเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยอ้างว่าแนวคิดโลกกลมแท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด เนื่องจาก Universal Pictures บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ชื่อดัง นำภาพลูกโลกทรงกลมหมุนรอบตัวเองมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของบริษัทในปี 1927 ทั้ง ๆ ที่องค์การ NASA เพิ่งจะเริ่มต้นโครงการ Apollo ในทศวรรษที่ 1960’s และภาพถ่ายโลกจากอวกาศเป็นครั้งแรกในปี 1972 เท่านั้น บทสรุป : 1.มนุษย์ค้นพบว่าโลกมีสัณฐานเป็นทรงกลมหลายพันปี2.หลักฐานถ่ายภาพโลกทรงกลมจากอวกาศมีมาตั้งแต่ปี 1946 FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : อย่างไรก็ดี การค้นพบว่าโลกมีสัณฐานเป็นทรงกลม เป็นความรู้ที่มนุษยชาติค้นพบมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาลหลายร้อยปี โฆษกของศูนย์อวกาศ จอห์น เอฟ. เคนเนดี องค์การ NASA ยืนยันต่อสำนักข่าว Reuters ว่า ชาวกรีกโบราณส่วนใหญ่เชื่อว่าโลกเป็นทรงกลมตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล แม้ในสมัย […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ถ้าโลกกลม ต้องรู้สึกแรงเหวี่ยงเวลาโลกหมุน จริงหรือ?

12 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการสนับสนุนทฤษฎีโลกแบนเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยอ้างว่าหากโลกมีสัณฐานเป็นทรงกลมและหมุนรอบตัวเองจริง เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ที่อยู่บนโลกจะไม่รู้สึกขณะที่โลกหมุนรอบตัวด้วยความเร็ว และหากโลกหมุนไปทางทิศตะวันออกจริง การเดินทางด้วยเครื่องบินไปในทิศตะวันออก จะต้องใช้เวลานานกว่าการเดินทางด้วยเครื่องบินไปในทิศตะวันตก เนื่องจากทิศตะวันตกเป็นทิศตรงกันข้ามกับการหมุนของโลก บทสรุป : 1.มนุษย์ไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนที่ แต่รับรู้เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงความเร็วของการเคลื่อนที่2.มนุษย์ไม่รู้สึกว่าโลกหมุนเพราะโลกหมุนด้วยความเร็วคงที่3.โลกหมุนไปทางทิศตะวันออก แต่การบินไปทิศตะวันตกไม่ทำให้เร็วกว่าทิศตะวันออก4.เนื่องจากเครื่องบินเคลื่อนที่ไปพร้อมกับการหมุนของโลกจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วง FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ไม่รู้สึกว่าโลกหมุนเพราะความเร็วคงที่ แม้โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็ว 1,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่มนุษย์ไม่รู้สึกถึงความเร็วดังกล่าว เนื่องจากเป็นการหมุนด้วยความเร็วคงที่ เควิน ลี รองศาสตราจารย์ภาควิชาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนบราสกา อธิบายว่า มนุษย์ไม่ได้รับรู้ถึงการเคลื่อนที่ แต่รับรู้เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงความเร็วของการเคลื่อนที่ เช่น การเร่งหรือการชะลอความเร็ว ตัวอย่างเช่น เราไม่รู้สึกระหว่างโดยสารรถยนต์ จนกระทั่งรถชะลอความเร็วด้วยการใช้เบรก หรือความรู้สึกปราศจากการเคลื่อนไหวเวลาโดยสารเครื่องบิน ก็ไม่ได้หมายความว่าเครื่องบินหยุดอยู่กับที่เช่นกัน โลกหมุนรอบแกนกลางไปทางทิศตะวันออก แต่กระนั้น ทิศทางการหมุนของโลก ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเวลาที่ใช้เดินทางโดยเครื่องบินแต่อย่างใด โรเบิร์ต ฟรอสต์ ผู้ฝึกสอนการบินขององค์การ […]

1 2 3 40