ชัวร์ก่อนแชร์: บุหรี่ไฟฟ้าไม่ทำให้เกิด “โรคปอดป๊อปคอร์น” จริงหรือ?

15 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อมีข้อมูลที่สรุปว่า โรคปอดป๊อปคอร์นหรือหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า บทสรุป : 1.โรคปอดป๊อปคอร์น เป็นชื่อเรียกของโรคหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น2.สาเหตุมาจากสารไดอะเซทิล ที่ช่วยให้ข้าวโพดคั่วมีกลิ่นหอมเนย3.ปัจจุบันมีการยกเลิกใช้สารไดอะเซทิลในข้าวโพดคั่วแล้ว แต่กลับพบการใช้ในบุหรี่ไฟฟ้า FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : โรคปอดป๊อปคอร์นจากสาร Diacetyl โรคหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น เป็นที่รู้จักทั่วไปในชื่อ โรคปอดป๊อปคอร์น เนื่องจากพบการระบาดอย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้ป่วยที่ทำงานในโรงงานอบข้าวโพดคั่วในช่วงต้นยุค 2000s สาเหตุเนื่องจากการอบข้าวโพดคั่วในสมัยก่อน ยังมีการเติมสารไดอะเซทิล (Diacetyl) เพื่อทำให้ข้าวโพดคั่วมีกลิ่นหอมเนย แม้สารไดอะเซทิลจะไม่เป็นอันตรายสำหรับการบริโภค แต่ส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจหากสูดดมเป็นเวลานาน เพราะการสะสมสารไดอะเซทิลทำให้เกิดการอักเสบที่ผนังหลอดเลือดในปอด เกิดเนื้อเยื่อแผลเป็นที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแคบลง นำไปสู่โรคหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น แม้ภายหลังจะมีการห้ามใช้สารไดอะเซทิลผลิตข้าวโพดคั่วหรืออาหารอื่น ๆ แต่กลับพบการใช้สารไดอะเซทิลเป็นส่วนประกอบในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย บุหรี่ไฟฟ้าในอังกฤษไม่มีสารไดอะเซทิล หน่วยงานสาธารณสุขของอังกฤษ ปฏิเสธการเชื่อมโยงโรคปอดป๊อปคอร์นกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากสหราชอาณาจักรมีกฎหมายห้ามเติมสารไดอะเซทิลในบุหรี่ไฟฟ้า จึงเป็นสาเหตุให้การสูบบุหรี่ไฟฟ้าในสหราชอาณาจักร ไม่เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น แต่กระนั้น สารไดอะเซทิลกลับพบอย่างแพร่หลายในบุหรี่ไฟฟ้าที่จำหน่ายนอกสหราชอาณาจักร บุหรี่ไฟฟ้าทั่วไปมีสารไดอะเซทิล […]

ชัวร์ก่อนแชร์: นิโคตินจากบุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัว เท่ากับ บุหรี่ 20 มวน จริงหรือ?

14 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อมีการเปรียบเทียบว่า ระดับนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัว เท่ากับปริมาณนิโคตินที่ได้รับจากการสูบบุหรี่มวน 20-40 ตัว บทสรุป : 1.ในอังกฤษมีมาตรการควบคุมนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าให้เทียบเท่าบุหรี่ 20 มวน2.แต่ในประเทศที่ไม่มีการควบคุม อาจพบนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าเท่ากับบุหรี่ 600 มวน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัว ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติสหราชอาณาจักร (NHS) ระบุว่า ปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัวที่อนุญาตให้จำหน่ายในสหราชสหราชอาณาจักร ต้องมีปริมาณน้ำยาไม่เกิน 2 มิลลิลิตร และมีความเข้มข้นของนิโคตินที่ 20 มิลลิกรัมต่อน้ำยา 1 มิลลิลิตร เท่ากับว่า บุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัวในสหราชสหราชอาณาจักร จะมีปริมาณน้ำยาไม่เกิน 2 […]

ชัวร์ก่อนแชร์: บุหรี่ไฟฟ้าติดยากกว่าบุหรี่มวน จริงหรือ?

13 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อมีความเชื่อกันว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้านำไปสู่การเสพติดได้ยากกว่าการสูบบุหรี่มวน บทสรุป : 1.บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินเหมือนกับบุหรี่มวน2.งานวิจัยพบว่าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีพฤติกรรมเสพติดมากกว่าบุหรี่มวน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ความเชื่อดังกล่าวมาจากคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร ที่มองว่าบุหรี่ไฟฟ้านำไปสู่การเสพติดได้ยากกว่าการสูบบุหรี่มวน เนื่องจากการสูบแต่ละครั้งทำให้ร่างกายได้รับปริมาณสารนิโคตินน้อยกว่าการสูบบุหรี่มวน อย่างไรก็ตาม คำแนะนำดังกล่าว มาจากประเทศที่มีการควบคุมปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า สำหรับประเทศที่ไม่มีการควบคุมปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า คำแนะนำดังกล่าวอาจไม่สะท้อนทิศทางการผลิตบุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มปริมาณนิโคตินต่อการสูบหนึ่งครั้งอย่างมาก นิโคตินยังมีระดับการเสพติดที่สูงมาก เทียบเท่าการเสพติดอย่างโคเคนและเฮโรอีน ทำให้การหยุดรับสารนิโคตินอย่างกะทันหัน นำไปสู่อาการขาดยา ซึ่งพบได้ไม่แตกต่างกันทั้งในกลุ่มผู้สูบบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า งานวิจัยพบ บุหรี่ไฟฟ้าติดง่ายกว่าบุหรี่มวน งานวิจัยหัวข้อ E-Cigarettes are More Addictive than Traditional Cigarettes—A Study in Highly Educated Young People โดยทีมวิจัยในประเทศโปแลนด์ ตีพิมพ์ทางวารสาร International Journal […]

ชัวร์ก่อนแชร์: บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายต่อเด็กน้อยกว่าบุหรี่มวน จริงหรือ?

12 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : แม้จุดประสงค์แต่เดิมของบุหรี่ไฟฟ้าคือทางเลือกสำหรับผู้ต้องการเลิกสูบบุหรี่ แต่ปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาดบุหรี่ไฟฟ้าคือนักสูบหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชน นำไปสู่การตั้งคำถามถึงประโยชน์และอันตรายเรื่องการมีอยู่ของบุหรี่ไฟฟ้าที่ยังคงแพร่หลายในสังคม แม้จะเป็นสิ่งผิดกฎหมายในบางประเทศก็ตาม บทสรุป : 1.ความเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนมาจากงานวิจัยที่มีปัญหาและทำให้เกิดความเข้าใจผิด2.ในบุหรี่ไฟฟ้ามีสารที่เหมือนและต่างจากบุหรี่มวน แต่เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งได้เช่นกัน3.ตรวจพบยาดองศพและยาฆ่าหญ้าในบุหรี่ไฟฟ้า4.บุหรี่ไฟฟ้าพุ่งเป้ามาที่เยาวชน ทำให้เกิดนักสูบหน้าใหม่ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การทำงานของบุหรี่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้าที่การทำงานที่คล้ายคลึงกับเครื่องพ่นละอองสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือผู้ป่วยโรคปอด เครื่องพ่นละอองจะเปลี่ยนตัวยาที่เป็นของเหลวให้กลายเป็นไอให้ผู้ป่วยสูดดม ถือเป็นวิธีลำเลียงตัวยาเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจที่มีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าทำงานด้วยการใช้ความร้อนทำให้สารเคมีในน้ำยากลายเป็นไอ แต่สิ่งที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจกลับเต็มไปด้วยสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเวลานานจึงเปรียบเสมือนการปล่อยให้ปอดแช่อยู่ในสารพิษอย่างต่อเนื่อง การที่บุหรี่มวนมีสารก่อมะเร็งนับ 100 ชนิด และสารเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งกว่า 900 ชนิด อาจทำให้บุหรี่ไฟฟ้าดูมีความอันตรายน้อยกว่า แต่กระนั้น บุหรี่ไฟฟ้าก็มีสารบางอย่างที่คล้ายกับบุหรี่มวน รวมถึงสารอันตรายอื่น ๆ อีกมากมายที่พบในบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะ Nicotine สารที่พบทั้งในบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าคือนิโคติน สารเสพติดที่ทำให้ความดันโลหิตสูงและเร่งการหลั่งอะดรีนาลีน ทำให้หัวใจทำงานหนักเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ บุหรี่ไฟฟ้าบางชนิดยังพบปริมาณนิโคตินที่สูงกว่าในบุหรี่มวนอีกด้วย Formaldehyde ฟอร์มาลดีไฮด์ สารประกอบอินทรีย์ ใช้เป็นสารตั้งต้นสำคัญในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้เป็นสารฆ่าเชื้อและยาดองศพ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ชานมไข่มุกทำให้เสี่ยงมะเร็ง จริงหรือ?

11 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างงานวิจัยที่พบสารก่อมะเร็งในชานมไข่มุก นำไปสู่การอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกอาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง บทสรุป : 1.ข่าวพบสารก่อมะเร็งในชานมไข่มุก มาจากงานวิจัยที่มีปัญหาเมื่อปี 20122.ดื่มชานมไข่มุกมากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงสารพัดโรค FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ข้ออ้างดังกล่าวมาจากงานวิจัยจากประเทศเยอรมนีเมื่อปี 2012 ที่ตรวจพบสารก่อมะเร็งในไข่มุกที่ใช้ในชานม จนกลายเป็นข่าวที่ถูกรายงานโดยสื่อหลายสำนักในเวลานั้น อย่างไรก็ดี มีการตรวจพบข้อผิดพลาดจากรายงานดังกล่าว เพราะสารก่อมะเร็งที่พบในไข่มุกไม่ใช่สาร Polychlorinated Biphenyls (PCBs) แต่เป็นสาร Styrene ที่พบได้ปริมาณน้อยในอาหารทั่วไป และAcetophenone สารปรุงแต่งกลิ่นรสอาหารสังเคราะห์ที่ผ่านการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) แม้โครงการพิษวิทยาแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Toxicology Program) จะพบว่าสาร Styrene เป็นสารก่อมะเร็งจากการวิจัยในสัตว์ทดลอง แต่ทีมวิจัยจากประเทศเยอรมนียังขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของชานมไข่มุกที่พบสาร Styrene และไม่ระบุว่าปริมาณสาร Styrene ที่พบมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังอยู่ในสถานะ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ชานมไข่มุกดื่มมากเสี่ยงนิ่วในไต จริงหรือ?

10 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกดื่มมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงนิ่วในไต บทสรุป : 1.มีเคสดื่มชานมไข่มุกแทนน้ำในไต้หวันจนป่วยเป็นนิ่วในไต2.ต่างจากข่าวลือนิ่วในถุงน้ำดีเพราะชานมไข่มุกที่ไม่เป็นความจริง3.ปัจจัยเสี่ยงของชานมไข่มุกต่อสุขภาพไตคือปริมาณน้ำตาล4.ชานมไข่มุก 1 แก้วมีน้ำตาลถึง 11 ช้อนชา เท่ากับปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วัน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ข้อมูลดังกล่าว มาจากรายงานข่าวจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ Independent ของประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ที่รายงานเคสผู้ป่วยหญิงชาวไต้หวันวัย 20 ปี ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลจากการเป็นไข้และอาการปวดอย่างรุนแรงบริเวณแผ่นหลังด้านล่าง การตรวจอัลตราซาวนด์พบว่าไตของเธอมีอาการบวมน้ำและพบนิ่วในไตจำนวนมาก ผลตรวจเลือดพบปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวจำนวนมาก ทีมแพทย์ทำการรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ ดูดของเหลวออกจากไต และทำการผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อนำนิ่วมากกว่า 300 ชิ้นออกมาจากไตของเธอ ซึ่งแต่ละชิ้นมีขนาดประมาณ 5 มิลลิเมตรถึง 2 เซนติเมตร ดร.ลิมชียัง แพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ภาพ X-Ray ไข่มุกเต็มท้องเด็กหญิงเพราะชานม จริงหรือ?

09 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกต่อเนื่องมีความอันตราย เพราะรายงานข่าวปี 2019 พบเด็กหญิงวัย 14 ปีในมณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ป่วยด้วยอาการท้องผูกและกินอาหารไม่ได้ เมื่อแพทย์ทำการตรวจสอบด้วยวิธี CT Scan พบวัตถุลักษณะคล้ายไข่มุกที่ยังไม่ถูกย่อยจำนวนมากอยู่ในระบบทางเดินอาหาร เชื่อว่าเกิดการจากการดื่มชานมไข่มุกมากเกินไป บทสรุป : 1.ตามปกติแล้วภาพ X-Ray จะไม่เห็นอาหารในระบบทางเดินอาหาร2.ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าน่าจะมีการใช้สารแปลกปลอมในไข่มุกจนร่างกายย่อยไม่ได้ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : อย่างไรก็ดี รายงานข่าวชิ้นนี้สร้างข้อสงสัยในวงการแพทย์ เพราะตามปกติแล้ว การ X-Ray จะไม่แสดงภาพอาหารในระบบทางเดินอาหาร ลักษณะภาพจากการ X-Ray ภาพจาก X-Ray จะบ่งบอกปริมาณการดูดซับรังสีเอ็กซ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของสสาร โดยธาตุน้ำหนักเบาจะยอมให้รังสีผ่านไปได้มาก ในขณะที่ธาตุหนักจะดูดซับรังสีไว้ เช่น แคลเซียมในกระดูกสามารถดูดซับรังสีเอกซ์ได้มากที่สุด จึงทำให้มองเห็นภาพเอกซเรย์กระดูกเป็นสีขาว ส่วนคาร์บอน ไฮโดรเจน และไนโตรเจน […]

ชัวร์ก่อนแชร์: กาเฟอีนในชานมไข่มุก 1 แก้ว = กาแฟ 4 แก้ว จริงหรือ?

07 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกส่งผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากกาเฟอีนปริมาณสูงที่อยู่ในชานมไข่มุก 1 แก้วมีปริมาณกาเฟอีนเท่ากับการดื่มกาแฟ 4 แก้ว หรือเท่ากับปริมาณกาเฟอีนที่อยู่เครื่องดื่มชูกำลัง 8 กระป๋อง บทสรุป : 1.ปริมาณกาเฟอีนขึ้นอยู่กับชนิดของชา ชาแดงมีกาเฟอีนสูงที่สุด ชาเขียวมีกาเฟอีนน้อยที่สุด2.ยิ่งใช้น้ำร้อนอุณหภูมิสูงเท่าไหร่หรือใช้เวลาชงชานานเท่าไหร่ จะทำให้ชามีกาเฟอีนเพิ่มขึ้นเท่านั้น3.เทียบในปริมาณเท่ากัน ชามีกาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังอย่างมาก4.ผู้ใหญ่ไม่ควรได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินวันละ 400 มิลลิกรัม5.เด็กไม่ควรได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินวันละ 100 มิลลิกรัม FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การระบุว่าชามีปริมาณกาเฟอีนเท่าใด ต้องพิจารณาทั้งชนิดของใบชาและวิธีการชงชา แต่กระนั้นการอ้างว่าชานมไข่มุก 1 แก้วมีกาเฟอีนเท่ากับกาแฟ 4 แก้ว และเครื่องดื่มชูกำลัง 8 กระป๋อง เป็นการอ้างที่เกินกว่าความเป็นจริง ระดับกาเฟอีนจากชนิดของใบชา ระดับกาเฟอีนของชาชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเวลาในการเก็บเกี่ยวและระดับการออกซิเดชันของใบชา เมื่อเทียบชาแต่ละชนิดในปริมาณที่เท่ากัน (237 ml) […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ชานมไข่มุก ไม่มีนมผสม+ไขมันทรานส์ จริงหรือ?

06 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกทุกวันนี้มีแต่อันตราย เพราะนอกจากจะไม่มีส่วนผสมของชาแล้ว ยังมีการใช้ครีมเทียมมาชงแทนนมซึ่งเป็นอันตราย เนื่องจากมีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ซึ่งเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดหัวใจ บทสรุป : 1.ชานมไข่มุกมีทั้งสูตรที่ชงด้วยนมสดและสูตรที่ชงด้วยครีมเทียม2.หลังปี 2018 มีการปรับปรุงการผลิตครีมเทียมไม่มีเกิดไขมันทรานส์แล้ว3.แม้จะไม่ใช่แหล่งไขมันทรานส์ แต่การดื่มชานมไข่มุกผสมครีมเทียมมาก ๆ เป็นการสะสมไขมันอิ่มตัวในร่างกาย4.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันเกิน 30%5.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันอิ่มตัวเกิน 10%6.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันทรานส์เกิน 1% FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ความเชื่อดังกล่าว เป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโทษของการบริโภคครีมเทียมในอดีต เพราะในปัจจุบันหลายประเทศมีข้อบังคับการผลิตครีมเทียมโดยแทบไม่มีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบอีกต่อไป สาเหตุการเกิดไขมันทรานส์จากการผลิตครีมเทียม ครีมเทียม (Non-Dairy Creamer) คือผลิตภัณฑ์เลียนแบบครีมจากนมโคที่ผลิตจากไขมันพืช เช่นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม นอกจากเพิ่มอรรถรสให้เครื่องดื่มแล้ว ยังเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่แพ้นมวัว และยังมีราคาถูกกว่าครีมจากนมโคอีกด้วย แต่เดิมการผลิตครีมเทียมจะมีการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oil) ทำให้คุณสมบัติของไขมันในครีมเทียมเปลี่ยนจากกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวกลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัว […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที จริงหรือ?

04 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที บทสรุป : 1.เมื่อหยุดใช้ยาลดความดัน ความดันโลหิตอาจกลับมาสูงเหมือนเดิม2.การหยุดยาลดความดันด้วยตนเอง อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เนื่องจากความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวังไปตลอดชีวิต การใช้ยาลดความดันจนความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหากหยุดใช้ยาแล้ว ความดันโลหิตจะไม่กลับมาสูงอีกครั้ง ปาร์วีน การ์ก แพทย์โรคหัวใจ สถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาล Keck Hospital of USC ย้ำว่า ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่อยู่กับผู้ป่วยไปตลอดชีวิต การใช้ยาลดความดันไม่ใช่การรักษา แต่เป็นแค่การควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปกติเท่านั้น เมื่อหยุดใช้ยาลดความดัน ความดันโลหิตก็จะกลับมาสูงอีกเหมือนเดิม อันตรายจากการหยุดยาลดความดันด้วยตนเอง อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต อาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงได้ เช่น หลอดเลือดในสมองแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำการใช้ยาลดความดันอย่างปลอดภัย 4 ข้อ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ใช้ยาลดความดันแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับพฤติกรรม จริงหรือ?

02 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ใช้ยาลดความดันแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับพฤติกรรม จริงหรือ? บทสรุป : 1.สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่มีสิ่งใดทดแทนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้2.การใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การได้รับยาลดความดันจนความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ไม่ได้หมายความว่าการออกกำลังกายหรือการงดอาหารทำร้ายสุขภาพจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่กันไป เพื่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพ ปาร์วีน การ์ก แพทย์โรคหัวใจ สถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาล Keck Hospital of USC ชี้แจงว่า ไม่มีสิ่งใดทดแทนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการกินอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เพราะเป็นวิธีป้องกันความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจจากความดันโลหิตสูงที่ดีที่สุด เหตุผลที่แพทย์จ่ายยาลดความดันเป็นเพราะวินิจฉัยแล้วว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอให้ความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ ลุค ลัฟฟิน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์โรคความดันโลหิต สถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic อธิบายว่า การใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างเอื้อประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั้งสองทาง เช่นในกรณีผู้ป่วยที่ใช้ยาลดความดันชนิด ACE inhibitors ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำให้หลอดเลือดตีบและช่วยให้หัวใจทำงานหนักลดลง […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ไม่ปรุงเกลือ/น้ำปลาเพิ่ม ป้องกันโรคความดัน 100% จริงหรือ?

01 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ไม่ปรุงเกลือ/น้ำปลาเพิ่ม ป้องกันโรคความดัน 100% บทสรุป : 1.โซเดียมไม่ได้มีแต่ในเกลือหรือของเค็มเท่านั้น2.ในอาหารปรุงสำเร็จต่าง ๆ รวมถึงขนมที่ใช้ผงฟูล้วนอุดมไปด้วยโซเดียมปริมาณสูง3.การคุมอาหารแบบ DASH ช่วยลดความดันโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เกลือ หรือ โซเดียมคลอไรด์ ส่งผลต่อความดันโลหิต เมื่อร่างกายต้องเพิ่มปริมาณน้ำในหลอดเลือดมากกว่าปกติเพื่อเจือจางโซเดียมในกระแสเลือด นอกจากนี้ เกลือยังทำให้หลอดเลือดหดตัวในระยะยาวอีกด้วย อันเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดความดันโลหิตสูงอย่างชัดเจน สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (AHA) แนะนำให้บริโภคโซเดียมต่อวันไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับปริมาณเกลือ 1 ช้อนชา หรือน้ำปลา 4 ช้อนชา และแนะนำให้ผู้สูงอายุบริโภคโซเดียมต่อวันไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม ขณะที่ผลสำรวจพบว่าชาวอเมริกันบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 3,400 มิลลิกรัม ส่วนคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 4,300 มิลลิกรัม โซเดียมไม่ได้มีแต่ในเกลือหรือของเค็ม […]

1 2 3 41