ชัวร์ก่อนแชร์: ยาสูดพ่นรักษาเสียงอื้อในหู จริงหรือ?

26 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการรักษาเสียงอื้อในหูเผยแพร่ทาง Facebook ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าปัจจุบันมีการจำหน่ายยาสูดพ่นที่มีส่วนประกอบของสาร SPI-1005 ซึ่งมีคุณสมบัติบำบัดอาการเสียงอื้อในหู โดยมีการใช้ภาพวิดีโอของ เควิน คอสเนอร์ นักแสดงและผู้กำกับรางวัลออสการ์มาช่วยโพรโมตผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าจะช่วยรักษาอาการเสียงอื้อในหูภายใน 28 วัน บทสรุป : 1.เสียงอื้อในหู (Tinnitus) ยังไม่มียารักษาให้หายขาด2.ยา SPI-1005 เพื่อรักษาเสียงอื้อในหู ยังอยู่ในระหว่างการทดลอง3.ยา SPI-1005 ทดลองเพื่อใช้สำหรับกิน ไม่ใช่เพื่อการสูดดม FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : อย่างไรก็ดี โฆษณาที่ใช้ เควิน คอสเนอร์ มายืนยันสรรพคุณยา ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นคลิปวิดีโอ Deepfake ที่สร้างโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ไม่ใช่บทสัมภาษณ์ของจริงแต่อย่างใด นอกจากนี้ อาการเสียงอื้อในหู ยังเป็นกลุ่มอาการที่ยังไม่มียารักษาให้หายขาดในปัจจุบันอีกด้วย เสียงอื้อในหู (Tinnitus) สถาบันโรคหูหนวกและความผิดปกติด้านการสื่อสารแห่งชาติสหรัฐฯ (NIDCD) […]

ชัวร์ก่อนแชร์: หูฟังคือตัวการทำหูหนวก จริงหรือ?

24 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : หนึ่งในความเชื่อที่สร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปัญหาด้านการได้ยิน ได้แก่การอ้างว่าสาเหตุของการหูหนวกคือการฟังเพลงจากหูฟัง โดยเชื่อว่าการที่ลำโพงของหูฟังอยู่ใกล้กับหูชั้นกลางและหูชั้นใน คือสาเหตุที่นำไปสู่ปัญหาด้านการได้ยิน บทสรุป : 1.ผลกระทบจากเสียง มาจากความดังของเสียง ไม่ใช่ระยะทางระหว่างหูและแหล่งกำเนิดเสียง2.แต่พฤติกรรมการเปิดเสียงดังแข่งกับเสียงรบกวนจากภายนอก อาจสร้างผลเสียต่อผู้ที่ใช้หูฟัง3.ทางแก้คือใช้หูฟังชนิดที่สามารถป้องกันเสียงรบกวนหรือใช้โปรแกรมตัดเสียงรบกวน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : แท้จริงแล้ว ความเชื่อดังกล่าวไม่เป็นความจริง ตามความเห็นของ ดร.คอรี พอร์ตนัฟ นักโสตสัมผัสวิทยา มหาวิทยาลัยโคโลราโด ซึ่งชี้แจงว่า ผลกระทบต่อการได้ยิน มาจากระดับความดังที่หูสัมผัส ไม่เกี่ยวกับระยะทางระหว่างหูและแหล่งกำเนิดเสียง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่า ระดับเสียงในสิ่งแวดล้อมที่ต่ำกว่า 60 เดซิเบล ไม่ส่งผลต่อสุขภาพด้านการได้ยิน ไม่ว่าจะฟังนานเท่าใด แต่การฟังเสียงในสิ่งแวดล้อมที่ดังกว่า 70 เดซิเบลเป็นเวลานาน อาจสร้างปัญหาด้านการได้ยินในอนาคต ดร.คอรี พอร์ตนัฟ แนะนำสูตรการใช้หูฟังโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพด้านการได้ยิน คือสูตร 80/90 หรือการฟังเสียงจากหูฟังแค่ […]

ความเสี่ยงหูหนวกจากการเล่นเกม

22 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ปัญหาการสูญเสียการได้ยินจากสื่อบันเทิง มักถูกเชื่อมโยงกับการฟังเพลงเป็นหลัก แต่ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า ปัจจุบันพบผู้ป่วยเกี่ยวกับการได้ยินในกลุ่มนักเล่นเกมจำนวนมาก หลังงานวิจัยพบว่าระดับเสียงจาหการเล่นเกมอยู่ในระดับที่ใกล้ขีดจำกัดหรือเกินขีดจำกัดระดับเสียงที่ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน ขณะที่ปัจจุบันมีการประเมินว่า ทั่วโลกมีนักเล่นเกมมากกว่า 3 พันล้านคน ปัญหามลภาวะทางเสียงจากการเล่นเกมจึงเป็นสิ่งที่สังคมไม่ควรมองข้ามอีกต่อไป ไม่ควรฟังเสียงดังเกิน 85 เดซิเบล นานเกิน 8 ชั่วโมง เมื่อปี 1972 สถาบันความปลอดภัยและอนามัยในการทำงานแห่งชาติฯ (National Institute for Occupational Safety and Health) ได้กำหนดว่า การฟังเสียงดังเกิน 85 เดซิเบล นานเกิน 8 ชั่วโมงในสถานที่ทำงาน จะส่งผลเสียต่อการได้ยินของมนุษย์ แหล่งกำเนิดเสียงที่มีความดังเกินระดับ 85 เดซิเบล ได้แก่ ในร้านอาหาร ล็อบบี้โรงแรม และในสนามบินที่มีคนพลุกพล่าน บนถนนที่สภาพการจราจรหนาแน่น เสียงรถไฟหรือรถบรรทุกวิ่งผ่าน เสียงไซเรน ตลอดจนเสียงการทำงานของเครื่องเป่าผมและเครื่องดูดฝุ่น งานวิจัยชี้เกมจำนวนมากเสียงดังเกิน 85 […]

ชัวร์ก่อนแชร์: เคี้ยวหมากและใบพลู ฆ่าเชื้อในปาก ต้านโควิด-มะเร็ง จริงหรือ?

21 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโรคมะเร็งหลอดอาหารและมะเร็งช่องปากเผยแพร่ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการเคี้ยวหมากและใบพลู มีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่างต่อร่างกาย ทั้งฆ่าเชื้อในปาก ต้านการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และต้านการเกิดมะเร็ง บทสรุป : WHO ประกาศให้การเคี้ยวหมากและใบพลู เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งในช่องปาก แม้จะเคี้ยวโดยไม่ร่วมกับการใช้ยาสูบก็ตาม FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : แต่เดิมมีความเชื่อว่าใบพลูที่กินร่วมกับหมากจะมีคุณสมบัติด้านการฆ่าเชื้อในปาก แต่การที่หมากและใบพลูเป็นยาเสพติดชนิดอ่อน การเคี้ยวหมากและใบพลูอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายตามที่กล่าวอ้างแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งหลายชนิด เมื่อปี 2003 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การเคี้ยวหมากและใบพลู เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งในช่องปาก แม้จะเคี้ยวโดยไม่ร่วมกับการใช้ยาสูบก็ตาม ข้อมูลจากการศึกษาเมื่อปี 1985 พบว่า การเคี้ยวหมากและใบพลูร่วมกับการใช้ยาสูบมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ หลังพบพฤติกรรมดังกล่าวอย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแต่ในทวีปเอเชีย แต่รวมถึงกลุ่มผู้อพยพชาวเอเชียที่ไปอาศัยในทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย เมื่อการเปรียบเทียบพบว่า กลุ่มผู้อพยพที่นิยมเคี้ยวหมากกับใบพลู มีสัดส่วนเป็นมะเร็งในช่องปากมากกว่าประชากรท้องถิ่น ข้อมูลพบว่าการเคี้ยวหมากกับใบพลู ร่วมกับการใช้ยาสูบ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งในช่องปาก […]

งานวิจัยมะเร็งหลอดอาหารกับการดื่มน้ำอัดลม

19 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล มีการนำความนิยมของการดื่มน้ำอัดลม ไปเชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งหลอดอาหารชนิด Adenocarcinoma (EAC) ที่เพิ่มขึ้นถึง 350% นับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970s เป็นต้นมา นำไปสู่การวิจัยถึงความสัมพันธ์อย่างแพร่หลาย แต่ผลการเชื่อมโยงมะเร็งหลอดอาหารกับการดื่มน้ำอัดลมยังไม่เป็นที่แน่ชัด เพราะมีทั้งงานวิจัยที่ไม่พบความสัมพันธ์และงานวิจัยที่พบว่าการดื่มน้ำอัดลมเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหารเช่นกัน งานวิจัยปี 2006 ของ Yale ไม่พบว่าการดื่มน้ำอัดลมเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหารชนิด EAC จุดประสงค์งานวิจัยมาจากข้อสันนิษฐานเรื่องการดื่มน้ำอัดลมทำให้เกิดอาการท้องอืด รบกวนการทำงานของหลอดอาหารส่วนล่าง และความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มน้ำอัดลมกับอาการจุกเสียดแน่นท้องในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งหลอดอาหารชนิด Adenocarcinoma (EAC) แต่ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยเยล เมื่อปี 2006 นำโดย ซูซาน เมย์น ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาและสาธารณสุข คณะแพทยศาสตร์ ได้เปรียบเทียบกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 1,095 ราย และกลุ่มควบคุม 657 ราย เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลม ทั้งแบบธรรมดาและแบบไม่มีน้ำตาล ทีมวิจัยพบว่า การบริโภคเครื่องดื่มน้ำอัดลมไม่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหารชนิด Adenocarcinoma (EAC) โดยเฉพาะน้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล และการบริโภคมากเกินไปไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลอดอาหารหรือมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดย่อยใด ๆ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: เครื่องดื่มร้อนเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหาร จริงหรือ?

18 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีความเชื่อเกี่ยวกับการดื่มน้ำร้อนกับโรคมะเร็งหลอดอาหารเผยแพร่ในต่างประเทศ เมื่อมีการอ้างว่าการดื่มชาหรือกาแฟในอุณหภูมิที่สูง เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหาร บทสรุป : 1.ความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดโรคมะเร็งและการดื่มน้ำร้อนจากการวิจัยในมนุษย์ยังมีอย่างจำกัด2.ไม่อาจสรุปได้ว่าการดื่มเครื่องดื่มร้อนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหาร FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : แม้องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติขององค์การอนามัยโลก (WHO) จะจัดให้การดื่มน้ำร้อนมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งในระดับ Group 2A แต่ผลการวิจัยในมนุษย์ยังมีอย่างจำกัดและไม่อาจสรุปได้ว่าการดื่มเครื่องดื่มร้อนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหารมากน้อยแค่ไหน สมิตา โจชิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งและโรคระบบทางเดินอาหาร ศูนย์วิจัยมะเร็ง Memorial Sloan Kettering Cancer Center (MSK) อธิบายว่า ความเชื่อเรื่องเครื่องดื่มร้อนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหาร มีมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930s จากทฤษฎีที่ว่าเครื่องดื่มร้อน เช่น ชาหรือกาแฟ อาจไปทำลายเยื่อบุชั้นในของหลอดอาหาร กระตุ้นการแบ่งตัวที่ผิดพลาดในเซลล์เยื่อบุ นำไปสู่การเกิดมะเร็ง รวมถึงความเชื่อที่ว่า เยื่อบุชั้นในของหลอดอาหารที่ถูกทำลายจากการดื่มน้ำร้อนอย่างต่อเนื่อง เมื่อสัมผัสกับสารเคมีที่อยู่ในบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งได้ง่ายขึ้น ในอดีตมีการศึกษากับสัตว์ทดลอง พบว่าการให้สัตว์ดื่มน้ำร้อนมาก ๆ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหารเช่นกัน […]

ชัวร์ก่อนแชร์: มะเร็งหลอดอาหารสามารถสังเกตได้ง่าย จริงหรือ?

16 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโรคมะเร็งหลอดอาหารเผยแพร่ในต่างประเทศ โดยอ้างว่ามะเร็งหลอดอาหารเป็นโรคที่สามารถสังเกตได้ง่ายในระยะเริ่มต้น เหมือนกับการตรวจคัดกรองมะเร็งทั่วไป บทสรุป : 1.ความผิดปกติทางกายหลายอย่างของมะเร็งหลอดอาหารอาการคล้ายคลึงกับโรคอื่น ๆ2.ปัจจุบันยังไม่มีคำแนะนำให้มีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งหลอดอาหารในประชาชนทั่วไป FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : หน้าที่ของหลอดอาหาร หลอดอาหาร เป็นอวัยวะซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงอาหารจากคอหอยไปยังกระเพาะอาหาร ในผู้ใหญ่จะมีความยาวประมาณ 23-25 เซนติเมตร สาเหตุมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งหลอดอาหารเกิดจากผลกระทบที่เกิดกับเซลล์ในมะเร็งหลอดอาหาร ทำให้เซลล์เปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็งได้ในที่สุด มะเร็งหลอดอาหารมีหลายประเภท แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Adenocarcinoma (EAC) และ Squamous-cell carcinoma (ESCC) มะเร็งหลอดอาหาร Adenocarcinoma (EAC) เกิดในเซลล์บริเวณรอยต่อระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร มักพบในประชากรประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป มะเร็งหลอดอาหาร Squamous-cell carcinoma […]

ชัวร์ก่อนแชร์: Moderna ทดลองวัคซีนโควิดก่อนไวรัสระบาดหลายปี จริงหรือ?

11 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่า Moderna รู้ล่วงหน้าว่าจะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นเวลาหลายปี เนื่องจากพบหลักฐานการทดลองวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2017 ข้อความยังอ้างแถลงการณ์ของ คริสเตียน แทร์เฮส สมาชิกของรัฐสภายุโรปจากประเทศโรมาเนีย ที่ตั้งคำถามเรื่องที่ Moderna ส่งผลการทดลองวัคซีน mRNA มายังองค์การยาของสหภาพยุโรป (EMA) ตั้งแต่ปี 2017 เช่นกัน บทสรุป : 1.Moderna ทดลองวัคซีน mRNA มาตั้งแต่ปี 2015 แต่ทดลองกับโรคอื่น ๆ ไม่ใช่โควิด-192.การพัฒนาวัคซีน mRNA เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1961 หรือก่อนการผลิตโควิด-19 ชนิด mRNA เกือบ 60 ปี FACT CHECK : […]

ชัวร์ก่อนแชร์: Moderna ปิดบังข้อมูลเด็กป่วยโรคหัวใจหลายรายช่วงทดลองวัคซีนโควิด จริงหรือ?

08 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่า Moderna บริษัทผู้ผลิตยา ทำการปิดบังข้อมูลว่ามีเด็กจำนวนมากต้องป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันระหว่างการทดลองวัคซีนโควิด-19 ในเด็กเล็ก บทสรุป : 1.มีเด็กเสียชีวิตเพียง 1 รายในการทดลองวัคซีนโควิด-19 ของ Moderna2.จากการใช้จริงยืนยันว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA มีความปลอดภัยสำหรับการใช้ในเด็ก FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : อย่างไรก็ตาม ข้ออ้างดังกล่าวไม่มีหลักฐาน และยังอ้างโดยสื่อที่มีประวัติเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง การทดลองพบเด็กเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน 1 ราย ในข้อมูลของ KidCOVE ซึ่งเป็นการศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยการทดลองวัคซีนโควิด-19 สูตรเด็กของ Moderna ระบุว่าในการทดลองที่เริ่มต้นช่วงเดือนมีนาคม 2021 มีอาสาสมัครเด็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 11 ปีจำนวน 12,000 รายร่วมทดลองวัคซีนโควิด-19 ของ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: Pfizer เสียค่าปรับ 7.7 หมื่นล้านคดีบิดเบือนข้อมูลวัคซีนโควิด จริงหรือ?

07 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่า Pfizer บริษัทผู้ผลิตยาเสียค่าปรับเป็นเงิน 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในข้อหาการฉ้อฉลด้านสาธารณสุข ที่เกิดจากการจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 โดยผู้อ้างยืนยันด้วยหลักฐานคลิปการแถลงข่าวของ โทมัส เฟอร์เรลลี อดีตผู้ช่วยอัยการสูงสุดสหรัฐฯ บทสรุป : 1.เป็นคดีเก่าที่ Pfizer โดนปรับเงินจากคดีฉ้อโกงการโฆษณายา Bextra2.ไม่มีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 เพราะเป็นคดีที่เกิดก่อนการผลิตวัคซีน ถึง 12 ปี FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : อย่างไรก็ดี โทมัส เฟอร์เรลลี ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอัยการสูงสุดสหรัฐฯ ระหว่างปี 2009-2012 เป็นผู้แถลงข่าวการปรับเงินบริษัท Pfizer จากคดีเมื่อปี 2009 ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งจะถูกผลิตในอีก 12 ปีต่อมาแต่อย่างใด คดีการปรับเงินครั้งประวัติศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ครั้งนั้น […]

ชัวร์ก่อนแชร์: Pfizer เผยไวรัส hMPV เกิดจากวัคซีนโควิด จริงหรือ?

06 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่า Pfizer บริษัทผู้ผลิตยายอมเปิดเผยข้อมูลอาการข้างเคียงจากวัคซีนโควิด-19 เป็นครั้งแรก โดยหนึ่งในอาการข้างเคียงที่ระบุในเอกสารของ Pfizer ก็คือการติดเชื้อไวรัส hMPV ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งพบการระบาดอย่างมากในสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ไม่ใช่ อาการข้างเคียง หลักฐานที่อ้างว่า Pfizer เปิดเผยอาการข้างเคียงจากวัคซีนโควิด-19 แท้จริงแล้วคือรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (Adverse Events) ภายหลังการรับวัคซีนโควิด-19 ที่ Pfizer นำเสนอต่อองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) เมื่อปี 2021 ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ตามที่กล่าวอ้างทางออนไลน์ รายงานดังกล่าวมาจากการสำรวจเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ 42,086 ครั้งที่เกิดกับผู้รับวัคซีนโควิด-19 ของ Pfizer ในช่วงเดือนธันวาคม 2020 ถึง […]

ชัวร์ก่อนแชร์: แมงมุมบราซิลกัด องคชาตแข็งตัว 4 ชั่วโมง จริงหรือ?

05 มีนาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลที่อาจสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสุขภาวะทางเพศชายเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ เมื่อมีการอ้างว่า หากถูกแมงมุมสายพันธุ์พื้นเมืองในประเทศบราซิลกัด จะทำให้อวัยวะเพศชายแข็งตัวต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 4 ชั่วโมง บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : แมงมุมสายพันธุ์ดังกล่าวมีชื่อว่า Phoneutria Nigriventer เป็นแมงมุมที่พบได้ในแถบตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ รู้จักในชื่อ Brazilian Wandering Spiders ส่วนอาการแข็งตัวขององคชาตที่อ้างว่าเกิดจากการถูกแมงมุม Phoneutria กัด แท้จริงแล้วคือภาวะองคชาตแข็งค้าง (Priapism) เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดจากพิษของแมงมุม Phoneutria ซึ่งจะทำให้อวัยวะเพศชายมีอาการแข็งเกร็งเป็นเวลานานและสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก อาจไปสู่การตายของเนื้อเยื่อในกล้ามเนื้อขององคชาตได้อีกด้วย พิษจากแมงมุม Phoneutria ยังส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ทั้งอาการเจ็บปวดบริเวณที่ถูกกัด เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง วิงเวียนศีรษะ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการมองเห็น หายใจลำบาก […]

1 2 3 36