กำปั้นไทยซ้อมเข้ม ก่อนลุยโอลิมปิก

ญี่ปุ่น 21 ก.ค. – กำปั้นไทยซ้อมเข้มในหมู่บ้านนักกีฬา “โค้ชแซม” กามนิตย์ นารีรักษ์ ไม่ห่วงเรื่องน้ำหนัก ทุกคนอยู่ในพิกัด ขณะที่โค้ชเช ยอง ซอก ทบทวนแทคติก 2 นักเทควันโด ก่อนขึ้นเวทีลุ้นเหรียญ 24 ก.ค.นี้

ความเคลื่อนไหวของ 4 นักชกทีมชาติไทยในโอลิมปิกเกมส์ ประกอบด้วย รุ่นเฟเธอร์เวตชาย “เจ้าสด” ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี, รุ่นฟลายเวตหญิง “น้องเฟี้ยว” จุฑามาศ จิตรพงศ์, รุ่นไลต์เวตหญิง “น้องแต้ว” สุดาพร สีสอนดี และรุ่นเวลเตอร์เวตหญิง ใบสน มณีก้อน ทัพนักชกไทยลงซ้อมภายในหมู่บ้านนักกีฬา

“โค้ชแซม” กามนิตย์ นารีรักษ์ เปิดเผยว่า ตอนนี้นักชกทุกคนสมาธิและความมุ่งมั่นดีมาก การปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศและเวลาในญี่ปุ่นถือว่าลงตัว ทุกคนอยู่ในพิกัดตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมาจากการทดสอบล่าสุด ฉัตร์ชัยเดชา อยู่ที่ 56.5 กก. ต่ำกว่าพิกัด, จุฑามาศ 51.4 กก., สุดาพร 60 กก. และใบสน 69.3 กก.

ส่วนความเคลื่อนไหวการฝึกซ้อมของ 2 นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ก่อนลุยศึกโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทั้ง “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จอมเตะเบอร์ 1 ของโลก ในรุ่น 49 กก.หญิง และ “จูเนียร์” รามณรงค์ เสวกวิหารี รุ่น 58 กก.ชาย เข้าสู่วันที่ 3 ของการฝึกซ้อม โดยช่วงเช้า โค้ชเช ยอง ซอก ให้วิ่งรอบที่พักนักกีฬา และวอร์มร่างกายเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง ส่วนช่วงบ่ายเดินทางไปฝึกซ้อมที่โรงยิมเพื่อทบทวนแทคติก เน้นการเตะหัว 3 คะแนน

โค้ชเช กล่าวว่า ได้ซ้อมการเตะที่จะใช้ในการแข่งขัน โดยเฉาะการเตะหัว 3 คะแนน ส่วนจูเนียร์ จะให้วิ่งมากขึ้น เพราะยังมีน้ำหนักตัวเกินอยู่ 1 กก. ย้ำทั้งคู่ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะรายการนี้ไม่มีคนดู ทำให้ไม่กดดัน โดยโปรแกรมของ “เทนนิส” จะลงลุ้นเหรียญวันที่ 24 ก.ค.เวลา 08.00 น. ตามด้วย “จูเนียร์” 08.15 น. วันเดียวกัน

ด้านนายธนา ไชยประสิทธิ์ หัวหน้านักกีฬาไทย โอลิมปิกเกมส์ 2020 ประกาศให้ “แซม” เศวต เศรษฐาภรณ์ นักกีฬายิงเป้าบินวัย 56 ปี และ “น้องเอิน” ณภัสวรรณ หย่างไพบูลย์ นักยิงปืน เป็นผู้ถือธงชาติไทย เข้าสู่พิธีเปิดการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 32 อย่างเป็นทางการ ในช่วงค่ำวันที่ 23 ก.ค.นี้ ที่สนามกีฬาโอลิมปิก สเตเดี้ยม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยจะเป็นครั้งแรกที่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซี ปรับให้ทุกชาติมีนักกีฬา 2 คน คือ หญิง 1 คน ชาย 1 คน ทำหน้าที่ถือธงชาติในพิธีเปิดการแข่งขัน ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมในเรื่องของความเสมอภาคและเท่าเทียบกันทางเพศ. – สำนักข่าวไทย