กรุงเทพฯ 14 ธ.ค.-บอร์ด สปสช.เห็นชอบสิทธิประโยชน์ใหม่ 6 รายการ ค้นหาการกลายพันธ์ยีนมะเร็งเต้านม-ให้ยา PEP ประชาชนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี-คัดกรองผู้ป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก–คัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งช่องปาก–ใส่รากฟันเทียมสำหรับผู้ที่ไม่มีฟันทั้งปาก-ขยายข้อบ่งชี้ยาIVIG ให้ผู้ป่วยโควิด-19
ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.64 ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน มีมติเห็นชอบสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) จำนวน 6 รายการ ซึ่ง 5 รายการจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65 โดยใช้งบเหลือจ่ายปี 2564 ที่ไม่มีภาระผูกพัน จำนวน 238.59 ล้านบาท ในการจ่ายชดเชยบริการ ขณะที่อีก 1 รายการจะใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินฯ ที่ได้รับปีงบประมาณ 2565 ซึ่งได้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64
รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร ประธานคณะอนุกรรมการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า สำหรับรายการสิทธิประโยชน์ทั้ง 6 รายการ เป็นการดำเนินการเพื่อดูแลประชาชนให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการรักษาที่จำเป็นเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย
1. การตรวจยีน BRCA1 BRCA2 ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจคัดกรองและค้นหาการกลายพันธ์ของยีนโรคมะเร็งเต้านม ให้พบในระยะเริ่มต้นและได้รับการรักษาเร็ว ซึ่งจะมีความคุ้มค่ากับกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง และประหยัดต้นทุนค่ารักษาในกลุ่มที่มีประวัติครอบครัวตรวจพบยีนกลายพันธุ์
2.การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัสเชื้อ (HIV PEP) โดยให้ประชาชนทุกคนได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีหลังสัมผัสเชื้อ (PEP) เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งมีผลการศึกษาของต่างประเทศที่พบว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ มีความคุ้มทุน โดยจะให้บริการครอบคลุมประชาชนไทยทุกคน ไม่จำกัดจำนวนครั้งการให้บริการ ซึ่งคิดเป็นภาระงบประมาณจากค่ายาสูตรแนะนำ TDF/3TC/DTG และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยเฉลี่ย 1,594 บาทต่อราย
3.การตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกด้วยเครื่อง Tandem mass spectrometry ซึ่งจะเป็นการขยายการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดโรคทางพันธุกรรมเมตาบอลิก เพื่อเข้าสู่การรักษาโรคหายากได้อย่างรวดเร็วและช่วยชีวิตเด็กได้ ซึ่งการรักษาโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกก่อนมีอาการแสดง จะช่วยประหยัดต้นทุนค่ารักษา (cost-saving) และในปัจจุบันการคัดกรองเป็นวิธีการเดียวที่มีความแม่นยำในการระบุตัวผู้ป่วยเพื่อให้การรักษาก่อนมีอาการ โดยคิดเป็นภาระงบประมาณจากค่าตรวจคัดกรอง 500 บาทต่อราย
4.การคัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็งและมะเร็งช่องปาก (CA Oral Screening) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการค้นหาผู้มีรอยโรคเสี่ยงมะเร็งช่องปากรายใหม่ เข้าสู่การรักษาได้เร็วขึ้น โดยจะให้บริการคัดกรองสำหรับประชาชนไทย อายุ 40 ปีขึ้นไป ทุกสิทธิการรักษา คิดเป็นภาระงบประมาณจากค่าบริการตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) 600 บาท จากผู้เข้ารับการคัดกรองรอยโรคจำนวน 2% ที่จะต้องได้รับการตรวจชิ้นเนื้อ
5.การผ่าตัดใส่รากฟันเทียมสำหรับผู้ที่ไม่มีฟันทั้งปาก มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตสำหรับผู้ที่ไม่มีฟันทั้งปาก โดยให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ไม่มีฟันทั้งปากและมีข้อบ่งชี้การใส่รากฟันเทียม ด้วยบริการผ่าตัดใส่รากฟันเทียมและการบำรุงรักษา ซึ่งคิดเป็นภาระงบประมาณจากค่าผ่าตัด ค่ารากฟันเทียม และค่าบำรุงรักษา รวม 24,200 บาทต่อราย
6.การขยายข้อบ่งชี้การใช้ยา Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG) ซึ่งจะขยายให้สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ กลุ่มอาการอักเสบหลายระบบ (Multisystem Inflammatory Syndrome in Children; MIS-C) ในเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 กับผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Myocarditis / Pericarditis) ที่เกิดหลังการได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด mRNA ซึ่งคิดเป็นภาระงบประมาณจากค่ายา IVIG เฉลี่ย 50,000 และ 100,000 บาทต่อราย
ด้านนางดวงตา ตันโช ประธานคณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุน สปสช.กล่าวว่า ข้อเสนอสิทธิประโยชน์ใหม่ทั้ง 6 รายการ เป็นการดำเนินการในปีงบประมาณ 2565 รวมเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 245.25 ล้านบาท โดย 5 รายการแรกจะใช้งบเหลือจ่ายปี 2564 ที่ไม่มีภาระผูกพัน จำนวน 238.59 ล้านบาท ส่วนรายการสุดท้าย การขยายข้อบ่งชี้การใช้ยา IVIG จะใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.กู้เงินฯ ที่ได้รับปีงบประมาณ 2565 จำนวน 6.66 ล้านบาท .-สำนักข่าวไทย