กทม. 14 มิ.ย. – “ไทยสร้างไทย” จี้พรรคร่วมฝ่ายค้าน ผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเข้าสู่การพิจารณาของสภาอีกครั้ง ชี้ อย่าหลงประเด็นแก้รายมาตรา ที่ไม่ขจัดการสืบทอดอำนาจ
นายโภคิน พลกุล และ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคไทยสร้างไทย ร่วมกันแถลงข่าว แสดงจุดยืนต่อการเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคพลังประชารัฐ โดยเรียกร้องพรรคร่วมฝ่ายค้าน ผลักดันร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอีกครั้ง อย่าได้หลงประเด็นไปกับการแก้รายมาตรา ที่ไม่ได้ขจัดการสืบทอดอำนาจ หรือเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของพรรคตนในการเลือกตั้งเป็นสำคัญ
นายโภคิน กล่าวว่า ในสมัยที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย เป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 และผลักดันจนสภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 และเสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งคณะกรรมาธิการชุดดังกล่าวเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย ก็ได้ใช้ร่างรัฐธรรมนูญที่ ตน เสนอต่อคณะกรรมาธิการ เพื่อผลักดันให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจำนวน 200 คน เป็นองค์กรยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นด้วย ขณะเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลรวมถึงภาคประชาชน ก็ได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญทำนองเดียวกันต่อรัฐสภาจนเสร็จสิ้นในวาระ 2 แต่ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐกลับไปยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญจนมีคำวินิจฉัยว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดังกล่าว ทำไม่ได้ถ้าไม่ถามประชามติจากประชาชนเสียก่อน และก็ได้มีการเสนอขอให้รัฐสภาเลื่อนการลงมติในวาระ 3 ไปก่อน เพื่อรอการทำประชามติ ซึ่งสามารถทำได้เลย เพราะกฎหมายประชามติตามรัฐธรรมนูญ 2550 ยังมีผลใช้บังคับอยู่ หรือจะรอกฎหมายประชามติตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่รัฐสภากำลังพิจารณาอยู่ก็ได้ แต่รัฐสภาก็ได้ลงมติไปโดยสมาชิกวุฒิสภาและ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลเกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านวาระ 1 และวาระ 2 มาแล้ว ขณะเดียวกัน สมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้านส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยกับการชะลอการลงมติในวาระ 3
“การเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราของ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐในครั้งนี้ จึงเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากต้องการแก้ไขเรื่องระบบเลือกตั้งเป็นหลัก ผนวกกับการให้ ส.ส. เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณได้ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบและให้เหตุผล โดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ และคณะ ระบุว่าเพื่อให้ทุกคะแนนเสียงมีความหมาย จึงใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ให้มี ส.ส. เขต 350 คน ส.ส. บัญชีรายชื่อ 150 คน ทั้งห้าม ส.ส. เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณโดยเด็ดขาด จึงเป็นการไม่ให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และต้องการแก้ไขเฉพาะประเด็นที่พรรคการเมืองใหญ่จะได้เปรียบในการเลือกตั้ง ซึ่งตรงข้ามกับเจตนารมณ์ที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ และใช้มาได้เพียง 2 ปีกว่าเอง ส่วนการแก้ไขรายมาตราที่เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็ทำเพียงเพื่อให้ดูดีเท่านั้น”นายโภคิน กล่าว
นายโภคิน กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทย ขอยืนยันว่า ต้องการมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 ตามร่างที่ตนได้เสนอไว้ต่อคณะกรรมาธิการฯ และพรรคเพื่อไทย รวมถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านได้เห็นชอบจนผ่านวาระ 1 และวาระ 2 ของรัฐสภาแล้วเป็นหลัก และหากจะมีการแก้ไขรายมาตรา ก็ต้องเป็นมาตราที่เกี่ยวกับการสืบทอดอำนาจและขัดต่อหลักการประชาธิปไตยเป็นสำคัญ เช่น การตัดอำนาจวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี การนิรโทษกรรม คสช. และผู้เกี่ยวข้อง และที่สำคัญที่สุด ที่ เสนอไว้ในรายงานของกรรมาธิการ คือ การต้องมีบทบัญญัติที่ห้ามนิรโทษกรรมการรัฐประหาร หรือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยให้บทบัญญัติ เช่นว่า นี้มีค่าเท่ากับประเพณีการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกองค์กรโดยเฉพาะศาล ต้องยึดถือและปฏิบัติตาม ดังนั้น พรรคไทยสร้างไทย จึงเห็นว่า รัฐสภาต้องพิจารณาร่างกฎหมายประชามติ ที่เสร็จสิ้นในชั้นกรรมาธิการแล้ว ให้จบวาระ 2 และวาระ 3 เพื่อเสนอโปรดเกล้าฯ ทรงลงประปรมาภิไธยต่อไป และเมื่อมีผลใช้บังคับ นายกรัฐมนตรี องค์กร และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต้องรีบทำประชามติ ถามประชาชนว่า สมควรจะมี รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างและเห็นชอบโดยประชาชนหรือไม่โดยทันที
“ขอเรียกร้อง ให้พรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมกันผลักดัน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ตกไปในวาระ 3 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอีกครั้ง และอย่าได้หลงประเด็นไปกับการแก้รายมาตรา ที่ไม่ได้ขจัดการสืบทอดอำนาจ หรือเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของพรรคตนในการเลือกตั้งเป็นสำคัญ” นายโภคิน กล่าว
ด้านนายวัฒนา กล่าวว่า ในช่วงการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ ตนได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการ รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่ง ผลของการรับฟังความคิดเห็นประชาชนส่วนใหญ่ต้องการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่าง โดย ส.ส.ร. รายงานนี้ได้นำเข้าเสนอต่อคณะกรรมธิการ คณะกรรมาธิการส่วนใหญ่ที่มาจากหลายพรรคการเมือง ก็เห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย ส.ส.ร.เช่นกัน จึงนำไปสู่การเสนอร่างแก้ไข รัฐธรรมนูญโดยร่างที่เสนอแก้ไข เป็นร่างที่นายโภคิน ยกร่างขึ้นมาแต่ปรากฏว่า ไปถูกคว่ำในชั้นกรรมาธิการ หากจะมีการเสนอใหม่ พรรคการเมืองทุกพรรคที่เคยให้การสนับสนุนว่า รัฐธรรมนูญต้องร่างใหม่ โดย ส.ส.ร. ก็ควรสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน มากกว่าที่จะเสนอแก้ไขรายมาตราซึ่งไม่มีเหตุผล เพราะว่าก่อนหน้านั้น ทุกพรรคการเมืองมีมติ ซึ่งมติดังกล่าว นำมาสู่การแถลงข่าวร่วมกัน ที่รัฐสภา โดยทุกพรรค การเมืองได้ขึ้นเวทีร่วมกันและแถลงว่าจะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.-สำนักข่าวไทย