ครม. อนุมัติโครงการอาคาร รพ.รามาธิบดี – ย่านนวัตกรรมโยธี

ทำเนียบรัฐบาล 7 เม.ย.- ครม. อนุมัติโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี กรอบวงเงิน 11,629.65 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี หวังยกระดับงานด้านสาธารณสุข

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.มีมติเห็นชอบหลักการโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี กรอบวงเงิน 11,629.65 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (2565-2570) เป็นเงินงบประมาณจำนวน 7,764.00 ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 3,865.65 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีอาคารใหม่ ทดแทนอาคารเดิมที่ใช้งานมากว่า 50 ปี รวมทั้งขับเคลื่อนความร่วมมือย่านนวัตกรรมโยธี เชื่อมโยงสถาบันทางการแพทย์เป็นเครือข่ายที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด


ทั้งนี้ โครงการฯ เป็นการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีอาคารใหม่ จำนวน 4 อาคาร ในที่ดิน 16 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา ด้านหน้าขององค์การเภสัชกรรมที่ตั้งอยู่ตรงข้ามคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี รวมพื้นที่ก่อสร้างทั้งสิ้น 275,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย

1) อาคารโรงพยาบาลมีความสูง 28 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น พื้นที่ 191,000 ตารางเมตร ให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนทั่วไป ได้แก่ พื้นที่สำหรับหน่วยเวชระเบียน ประชาสัมพันธ์ แผนกพยาธิวิทยา แผนกรังสีวิทยา นิติเวชวิทยา แผนกผ่าตัด หน่วยตรวจผู้ป่วยนอก หอผู้ป่วยในสามัญ หอผู้ป่วยพิเศษ และหอผู้ป่วยวิกฤตรวมมีขนาดประมาณ 800 เตียง และเป็นพื้นที่ย่านนวัตกรรมโยธี ประกอบด้วย ศูนย์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์(MIND CENTER: Medical Innovations Development Center) Co Working Space ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบตามความเหมาะสมของการใช้งาน Clinical research center สำหรับการบริหารจัดการการทำวิจัยทางคลินิก และสำนักงานบริหารจัดการ (Administrative office)
2) อาคารสาธารณูปโภคสูง 4 ชั้น พื้นที่ 8,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่สนับสนุนการให้บริการสุขภาพ ได้แก่ ฝ่ายสารสนเทศ ฝ่ายโภชนาการ หน่วยปลอดเชื้อ และงานผ้า
3) อาคารจอดรถสูง 10 ชั้น พื้นที่ 40,000 ตารางเมตร จอดรถได้ประมาณ 1,200 คัน
4) อาคารสำนักงานสูง 10 ชั้น (อาคาร Buffer) พื้นที่ 36,000 ตารางเมตร รองรับพื้นที่ใช้สอยเดิมขององค์การเภสัชกรรม ได้แก่ สำนักงาน สหกรณ์ออมทรัพย์ พื้นที่สวัสดิการต่าง ๆ และอื่น ๆ ก่อนย้ายออกไปใช้พื้นที่ใหม่ที่จังหวัดปทุมธานีในปี 2573


การสร้างย่านนวัตกรรมโยธี Yothi medical Innovation District : YMID) สอดคล้องกับแนวคิดพัฒนาการบริการทางการแพทย์สู่อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารด้านสาธารณสุขและสุขภาพให้เข้าสู่ระดับสากล แข่งขันได้ มุ่งสู่ความเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ทุกรัฐบาลได้ผลักดันไว้ โฆษกรัฐบาล กล่าว .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง