กทม. 29 ก.ย.-เปิดข้อมูลดิจิทัลฟุตพริ้นท์ “ชลน่าน” โมเม นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นนโยบายที่ทำเอง พบชัดเจนว่า เริ่มทำในยุค “อนุทิน” เป็น รมว.สาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายนโยบายรัฐบาล ในรัฐสภา ระบุว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นนโยบายที่ทำในยุคที่ตนเองเป็น รมว.สาธารณสุข ระยะเวลา 7 เดือน แต่ข้อเท็จจริง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้คิดริเรื่มทำในสมัย เป็น รมว.สาธารณสุข ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2563 โดยพบว่ามีดิจิทัลฟุตพริ้นท์ ที่สำคัญคือข่าวที่ปรากฎเคยเผยแพร่ตามเว็บไซต์ต่างๆ อาทิ https://www.nhso.go.th/th/communicate-th/thnewsforperson/News_2934 มาอ้างอิง ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล สมัยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยกระดับบัตรทอง 4 บริการ สู่หลักประกันสุขภาพยุคใหม่” ในการประชุมสร้างความร่วมมือภาคีเครือข่ายภาคประชาชนยกระดับบัตรทอง 4 บริการ สู่หลักประกันสุขภาพยุคใหม่ ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2563 โดยระบุว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา สปสช.ได้ทำสิ่งที่ควรจะให้เกิดก็คือรักษาทุกโรค จนถึงวันนี้ 30 บาทรักษาทุกโรคสามารถรักษาได้ทุกโรคจริงๆ และตนให้สัญญาว่า 30 บาทรักษาทุกโรค จะพัฒนาเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ รวมทั้งมีการพัฒนาบริการอื่นๆ รวมเป็น 4 เรื่องเพื่ออำนวยความสะดวกดูแลรักษาบริการประชาชนให้เข้าถึงการบริการได้มากขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น
“30 บาทรักษาทุกที่จะเป็นภาค 2 ของ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยบริการที่ยกระดับคือเจ็บป่วยทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้ป่วยอาการหนัก สามารถใช้บริการของหน่วยบริการปฐมภูมิได้ทุกที่ตั้งแต่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมาในเขต กทม.ก่อน และตั้งเป้าไว้ว่าใน 2565 จะขยายไปทุกจังหวัดของประเทศ” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเรื่องการยกระดับบัตรทอง ความเข้าใจง่าย ๆ คือในเมื่อ 30 บาทรักษาทุกโรคแล้ว บางครั้งคนที่ไปทำงานต่างภูมิลำเนา เมื่อเจ็บป่วยต้องรับการรักษาก็ต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย ทำไมไม่รักษาทุกที่ไปด้วย ทำไมไม่ใช้ฐานข้อมูลเชื่อมโยงกัน ป่วยที่ไหนเข้ารับบริการที่นั่นได้เลย และไม่ต้องกังวลว่าคนจะเข้าแต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเมื่อ สปสช.บอกว่ายินยอมให้รักษาทุกที่ ทางกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีโรงพยาบาลแทบทุกอำเภอ ก็ต้องยกระดับโรงพยาบาล ยกระดับการให้บริการประชาชนด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องไม่มีคำว่าโรงพยาบาลใหญ่โรงพยาบาลเล็ก จะต้องมีแต่คำว่าโรงพยาบาลดี โรงพยาบาลเจ๋ง โรงพยาบาลที่รักษาคนไข้ได้มากที่สุด
นายอนุทิน ขยายความว่าสำหรับการรักษาทุกที่ก็คือโรคทั่วไป เบาหวาน ความดัน หัวใจ หวัด ไข้ แบบนี้ไปรักษาทุกที่ได้ โดยเพิ่มโรคยากๆ เข้าไปด้วยคือมะเร็ง เพราะผู้ป่วยโรคมะเร็งถ้าไม่เปิดให้รักษาทุกที่ ต้องรอคิว บางครั้งไม่ทันได้รักษาก็เสียชีวิตไปก่อน ดังนั้นประชาชนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง จะสามารถตรวจและรักษาได้ทุกโรงพยาบาลที่มีความพร้อม ไม่ต้องรอคิวเหมือนที่ผ่านมา ไม่ต้องถูกจำกัดการใช้สิทธิ์ตามหน่วยบริการที่ลงทะเบียนไว้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2564 เป็นต้นไปเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ป่วยมะเร็ง
.
“กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้โอกาสในช่วงนี้จัดหาเครื่องฉายรังสีมะเร็งอีก 7 เครื่องเพื่อไปไว้ตามศูนย์มะเร็งทั่วประเทศ ด้วยความหวังว่าจากนี้ไปผู้ป่วยที่ต้องรับการฉายรังสีด้วยโรคมะเร็งจะสามารถไม่ต้องเดินทางไกลไปมาและคิวก็น่าจะสั้นลง ซึ่งเมื่อเสนอเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีอนุมัติโดยไม่ถามสักคำ” นายอนุทิน กล่าว
นอกจากนี้แล้ว ในส่วนของผู้ป่วยในก็จะสามารถใช้บริการหน่วยบริการใดหรือโรงพยาบาลใดก็ได้โดยไม่ต้องมีใบส่งตัวหรือต้องรอเอกสารส่งตัวซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบว่าใช้เวลานานมาก โดยจะเริ่มในเขตสุขภาพที่ 9 ซึ่งประกอบด้วย จ.นครราชสีมา จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ และ จ.ชัยภูมิ ก่อน และตั้งเป้าให้ครอบคลุมทั้ง 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศในปี 2565 เช่นกัน รวมทั้งเรื่องการแจ้งเปลี่ยนหน่วยบริการประจำโดยไม่ต้องรอระยะเวลาเกิดสิทธิ แจ้งย้ายแล้วเดินไปที่ไหนได้เลยไม่ต้องรอการอนุมัติ โดยขณะนี้กำลังเร่งยกระดับฐานข้อมูล และพร้อมจะให้บริการได้ในวันที่ 1 ม.ค. 2564 เป็นต้นไป
“การยกระดับ 4 บริการนี้จะเป็นการพัฒนางานบริการด้านสาธารณสุขของประเทศไทยให้เป็นการบริการที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกดูแลรักษาบริการประชาชนให้เข้าถึงการบริการได้มากขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และหวังว่าจะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้ให้ความใส่ใจในเรื่องสุขภาพของประชาชนเต็มที่ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีไปจนถึงคณะรัฐมนตรีทุกคน ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาธารณสุข ขอเพียงมีเหตุผลที่จำเป็น คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความเชื่อและมุ่งหวังว่าเมื่อประชาชนคนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความเข้าใจระบบการสาธารณสุข มีความเข้าใจเรื่องการรักษาตัวเองแล้ว ประเทศไทยจะมีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางสังคม ทางเศรษฐกิจ และความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ ถ้ามีจิตใจที่ดีมีสุขภาพที่ดี มีระบบการรักษาที่ดี ทุกคนก็อยากจะไปทำมาหากินสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับครอบครัว และประเทศไทยจะพลิกฟื้นจากวิกฤตโควิดก่อนคนอื่น” นายอนุทิน กล่าว.-319.-สำนักข่าวไทย