ทำเนียบ 30 ก.ค.-ศบ.ทก. เผยยอดพลเรือนเสียชีวิต 15 ราย จากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน สธ. ส่งทีมบุคลากรการแพทย์ เข้าดูแลสุขภาพจิตประชาชนที่ศูนย์พักพิง พบมีความเครียด 600 คน เสี่ยงฆ่าตัวตาย 142 คน
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย- กัมพูชา (ศบ.ทก.) ว่า ข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ณ วันที่ 30 กรกฎาคม เวลา 10:00 น. พลเรือนที่ได้รับผลกระทบ 53 ราย เสียชีวิต 15 ราย ที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์พลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมีจำนวน 12 ราย บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 13 รายปัจจุบันมีพลเรือนกำลังแอดมิทในโรงพยาบาล 11 ราย เคสที่สาหัส 8 ราย และบาดเจ็บปานกลาง 3 ราย มีผู้ป่วยที่สามารถกลับบ้านได้แล้วทั้งหมด 13 ราย
ส่วนโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 20 แห่ง ที่ต้องปิดบริการ โดยเป็นการปิดบริการทั้งหมด 11 โรงพยาบาล ได้แก่โรงพยาบาลน้ำขุ่น โรงพยาบาลน้ำยืน โรงพยาบาลนาจะฉลวย โรงพยาบาลกันทรลักษณ์ โรงพยาบาลภูสิงห์ โรงพยาบาลกาบเชิงโรงพยาบาลพนมดงรัก โรงพยาบาลปราสาท โรงพยาบาลบ้านกรวด โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ และโรงพยาบาลหันทราย ส่วนอีก 9 แห่ง เป็นการปิดบางส่วน โดยเปิดให้บริการในส่วรของห้องฉุกเฉินอยู่
ส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ได้รับผลกระทบจำนวน 144 แห่ง โดยเป็นการปิดบริการ 140 แห่ง และเปิดบริการบางส่วน 4 แห่ง สำหรับโรงพยาบาลที่ได้รับความเสียหายปัจจุบันที่ตรวจสอบได้มีอยู่ 4 แห่ง เป็นความเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา และกำลังอยู่ระหว่างการประเมิน ความเสียหายซึ่งอาจจะมีความเสียหายในระดับโครงสร้าง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการซ่อมแซม
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้ทีมปฏิบัติการทั้งหมด 1,168
ทีม ให้พร้อมดูแลประชาชน โดยมีทีมรูปแบบต่างๆ เช่น MERT, ALS, MCATT, SRRT ซึ่งปัจจุบันมีการปฏิบัติงานอยู่ 494 ทีมในเขตพื้นที่ต่างๆ ส่วนผลการดำเนินงานด้านการดูแลจิตใจ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีทีม MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) และบุคลากร ด้านสุขภาพจิต เข้าไปคัดกรองประชาชนในศูนย์พักพิงต่างๆ จำนวน 21,430 คน โดยพบประชาชนมีความเครียดสูง ประมาณ 600 คน มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย 142 คน ทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือจากจิตแพทย์และ นักจิตวิทยา เป็นการปฐมพยาบาลทางใจ ส่วนผู้มีอาการหนัก จะส่งต่อไปยังจิตแพทย์ในโรงพยาบาลจิตเวช หรือส่งไปรักษาแบบผู้ป่วยในต่อไป.-315.-สำนักข่าวไทย