รัฐสภา 9 ม.ค.- “โรม” โอด กมธ.มั่นคงฯ ไม่ได้ความชัดเจนใดๆ ทั้งปม 4 ลูกเรือประมง -ว้าแดง – แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บอกรัฐบาลไทยเสียเหลี่ยม แนะ กต.ทำงานเชิงรุก ยันไทยมีแต้มต่อ
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่าคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณากรณี 4 ลูกเรือประมงไทย ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ว่า 4 ลูกเรือประมงไทย ที่ถูกทางการเมียนมาควบคุมตัว จะได้กลับมาประเทศไทยเมื่อไหร่ โดยได้มีการซักถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าไม่มีการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายใด ซึ่งเข้าใจว่าทางการไทยไม่ทราบมาก่อนว่า ในวันที่มีคำพิพากษาจะเป็นวันดังกล่าว ทำให้ไม่มีการเตรียมความพร้อม และที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมระบุว่าไทยได้ประท้วงกรณีดังกล่าวนั้น ก็ได้ข้อมูลว่าไม่มีการประท้วงใดๆ จากการสอบถามผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศก็ยืนยันว่าไม่มีแนวทางที่จะประท้วง แต่กรรมาธิการฯ ก็ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ควรมีมาตรการเชิงรุก และกระทรวงต่างประเทศควรประท้วงไป เพราะพฤติกรรมที่เกิดขึ้น มีความรุนแรง และมีข้อคิดเห็นอีกหลายอย่างว่า ประเทศไทยมีแต้มต่อ มีไพ่หลายอย่าง ที่จะนำมาใช้ในการต่อรองได้ ก็ควรที่จะใช้ เพื่อให้ 4 คนนี้สามารถกลับสู่มาตุภูมิได้
“ต้องบอกว่ารัฐบาลไทยของเราเสียเหลี่ยมทางการเมืองในเรื่องนี้ การให้สัมภาษณ์จากกระทรวง และการส่งสัญญาณเป็นระยะ ว่าเรื่องนี้ควรจะใจเย็นนั้น เราต้องตั้งต้นว่า เราเป็นประเทศประชาธิปไตย สื่อมวลชนมีสิทธิ์ทำข่าว ประชาชนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น เรามีสิทธิ์ที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อนต่อพลเมืองของเรา การจะให้คนในประเทศห้ามพูด เพราะรัฐบาลเมียนมาต้องการเช่นนั้นเช่นนี้ไม่ได้ สิ่งสำคัญ คือ รัฐบาลไทยมีหน้าที่ปกป้องพลเรือนของเรา และยังอยากได้คำตอบ เพราะวันนี้เข้าใจว่าหน่วยงานที่เขาชี้แจงไม่ได้รับอำนาจในการตอบอย่างตรงประเด็นนัก” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ว้าแดงเข้ามาตั้งฐานทัพในไทยนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ยังไม่มีคำตอบเช่นเดียวกันว่า สุดท้ายแล้วจะมีการถอนทัพออกจากประเทศไทยเมื่อไหร่ สิ่งที่เราเห็นและประชาชนกังวล คือเรื่องหมุดโกดังเก็บยาเสพติดในแผนที่ ซึ่งเราพยายามสอบถามว่า มีข้อเท็จจริงอย่างไร แต่หน่วยงานก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีจริงหรือไม่
นายรังสิมันต์ ชี้ว่า ปัญหานี้ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณามากขึ้นอีก เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณป่าต้นน้ำ ซึ่งมีความสำคัญ เนื่องจากแม่น้ำดังกล่าวจะไหลลงสู่แม่น้ำปาย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย และยังได้รับรายงานอีกว่า ปกติเมื่อก่อนชาวบ้านสามารถข้ามแม่น้ำได้ แต่ปัจจุบันไม่สามารถทำได้ เนื่องจากทางว้าไม่อนุญาต หมายความว่าว้ากำลังมีปฏิบัติบางอย่างหรือไม่ จึงเป็นปัญหาความมั่นคงที่ยังตอบไม่ได้ ว่าสุดท้ายจะมีการดำเนินการอย่างไร ทั้งยังมีข้อสงสัยว่า แหล่งน้ำนี้อาจจะเป็นแหล่งน้ำในการผลิตยาเสพติดอีกด้วย
สำหรับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่าผู้ที่มาชี้แจง มีคำตอบคล้ายเดิม คือไม่มีความชัดเจนว่าจะเอาอย่างไร ได้รับเพียงข้อมูลเพิ่มเติมว่ามี 40 แห่ง จากข้อมูลเดิม 35 แห่ง หมายความว่ามีเพิ่มมา 5 แห่ง หากรวมกันทั้งหมดรอบประเทศของเรา จะมีถึง 75 แห่ง คือ เมียนมา 40 แห่ง สปป.ลาว 5 แห่ง กัมพูชา 30 แห่ง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มหาศาล ที่ยังไม่สามารถตอบได้ว่า จะมีแนวทางในการปราบปราม และแก้ปัญหานี้อย่างไร
“ผู้ที่มาตอบคำถาม โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ในภาพรวมเราได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน หากให้ตนมองในฐานะหน่วยงาน เขาก็พยายามทำเต็มที่ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือระดับนโยบาย ว่าตกลงแล้ว รัฐบาลจะมีแนวนโยบายอย่างไร ย้ำว่า หัวต้องขยับก่อน หากรัฐบาลไม่มีนโยบายในเรื่องนี้ ก็จัดการไม่ได้ หากหัวไม่ขยับ ก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ขณะที่กองทัพก็ย้ำว่า พร้อมปฏิบัติการ และควรทำภายใต้กรอบที่กระทรวงการต่างประเทศมี หากจะยกระดับการเจรจาต่อรอง ก็ต้องใช้กลไกที่มากกว่ากระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้น รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ควรดำเนินการให้เกิดการบูรณาการ ซึ่งผมยังไม่เห็นในจุดนี้” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนที่มีข้อเสนอว่า ทางการไทยควรจะติดต่อไปยังศูนย์กลางอำนาจของเมียนมา แต่เราไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของรัฐบาล และมิน อ่อง ลาย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ดีเท่ายุคของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตอบไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี เชื่อว่าในทุกระดับของกองทัพน่าจะมีการติดต่ออยู่ นางสาวแพทองธารเคยพบมิน อ่อง ลายด้วย วันนี้เรารู้ว่ารัฐบาลเมียนมาต้องการเงิน เพื่อไปรบกับชมกลุ่มน้อย รัฐบาลไทยจึงอำนวยความสะดวก การขึ้นทะเบียนแรงงานจะต้องมีสถานเอกอัครราชทูตเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งขั้นตอนนี้จะสร้างรายได้ให้รัฐบาลทหารเมียนมากว่า 1 หมื่นล้านบาท กรณีนี้ชัดเจนว่ารัฐบาลไทยน่าจะมีสายสัมพันธ์ที่ดี เพราะอำนวยความสะดวกให้กับรัฐบาลเมียนมา เรามีกลไกหลายอย่างที่จะต่อรอง อยู่ที่ว่ารัฐบาลไทยจะทำหรือไม่
อย่างไรก็ตามวันนี้มีข่าวดาราจีนที่หายตัวไปตั้งแต่ 20 ธ.ค.67 ซึ่งดูจะซ้ำรอยกับนายซิงซิง นายรังสิมันต์ กล่าวว่ากรณีของนายซิงซิงมีการขายต่อไปยัง 3 บริษัทที่อยู่ในพื้นที่เมียนมา อีกทั้งยังมีข่าวคุณพ่อท่านหนึ่งที่ออกมาเรียกร้องให้กับลูกสาววัย 21 ปี เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายจะนำไปสู่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเรื่องการท่องเที่ยว รัฐบาลต้องเปลี่ยนวิธีคิด อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องของประเทศนั้น ๆ ให้สถานเอกอัครราชทูตไปติดตาม ติดต่อเอาเอง ประเทศไทยเป็นแค่ทางผ่าน หากคิดแบบนี้ชื่อเสียงของประเทศไทยป่นปี้แน่นอน
เราต้องยอมรับความจริงว่า นักท่องเที่ยวเริ่มรู้สึกว่าการมาประเทศไทยไม่ปลอดภัย หากไม่ปลอดภัยแบบนี้ รัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างไร เราจะปล่อยปล่อยไปเรื่อย ๆ ให้การท่องเที่ยวพังแล้วค่อยว่ากัน ตนเองรับไม่ได้ การช่วยนายซิงซิงเป็นเรื่องดี แต่ยังมีอีกหลายคนที่รอคอยความช่วยเหลือ เราคงต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ยอมรับว่าคำตอบที่ได้ในการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่เรายังไม่ยอมแพ้จะเดินหน้าต่อ เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ แสวงหาข้อมูล และแสวงหาความร่วมมือในการแก้ปัญหาอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าคนมีสีในประเทศประเทศไทยได้ผลประโยชน์จากการส่งต่อนายซิงซิง ไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงอยากให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน ตรวจสอบองค์กรตัวเองให้เรียบร้อย ช่วยปัดกวาดให้เรียบร้อย ส่วนตัวเชื่อว่าคนมีสีเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน
เมื่อถามว่า ประเด็นเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์จะมีในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายรังสิมันต์ระบุว่า วิธีการของตนเองคือจะพยายามไม่พูดเยอะ เพราะจะได้เห็นกัน แต่ทุกเรื่องสามารถอยู่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทั้งสิ้น เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ฝ่ายค้านอย่างเดียว แต่อยู่ที่พฤติกรรมของรัฐบาล หากรัฐบาลมีแนวทางที่ชัดเจน สามารถสร้างความไว้วางใจได้ คงไม่เหมาะสมที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายเรื่องนั้น
แต่หากฝ่ายค้านพบว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่ยอมแก้ ไม่มีเจตจำนงจะแก้ และสร้างความเสียหาย จนนำไปสู่การที่สภาไม่ให้ไว้วางใจกับฝ่ายบริหารและรัฐมนตรี ก็สามารถนำไปอภิปรายได้ คงไม่อยากสรุปตอนนี้ว่ามีเรื่องใด แต่ยืนยันอีกครั้งว่า เราจับตามองท่านอยู่
“กรณีคอลเซ็นเตอร์อาจจะไม่ถึงขั้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่อยู่ในอภิปรายทั่วไป ซึ่งก็เป็นน้องๆ อภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อแถลงนโยบายก็หยิบยกมา เพราะรัฐบาลสัญญากับประชาชนไว้เรื่องนี้ แต่ถึงเวลากลับตรงกันข้าม ภาพลักษณ์ของประเทศไทยถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีมาตรการอะไรเลย” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศเอาจริงเรื่องปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนเกิดข้อครหาว่า นายทักษิณพูดอะไร รัฐบาลรับลูกหมด นายรังสิมันต์ ย้ำว่า ตอนนี้ตนเองอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหามาก การที่นายทักษิณพูด เราก็คงรู้ว่ากันว่านายทักษิณมีอิทธิพลอย่างไรกับรัฐบาล แต่ตนเองพยายามมองข้ามเรื่องนั้นไปก่อนในตอนนี้ เพื่อเอาวาระการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จ
“ทำยังไงก็ได้เถอะครับ แก้ปัญหาเสียที ความเสียหายกว่าแสนล้านของประเทศไทยที่เงินไหลออก มันรุนแรงเกินไปแล้ว ตอนนี้เรื่องท่องเที่ยวจะตาม อยากให้รัฐบาลเอาจริง อย่าให้เสียของ ท่านอุตส่าห์ทุกทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลขนาดนี้ ช่วยทำให้เกิดประโยชน์โภชผลต่อประชาชนบ้าง” นายรังสิมันต์ กล่าว. 312.-สำนักข่าวไทย