รัฐสภา 13 ก.พ.-รองโฆษกก้าวไกลถามรัฐบาลเลือกปิดปากสื่อ เพราะกลัวความจริงหรือไม่ แนะตั้งหลักให้ดีจะปฏิบัติต่อสื่ออย่างไร หลังตำรวจจับผู้สื่อข่าวประชาไท-ช่างภาพอิสระ นำเข้าที่ประชุมกมธ.พัฒนาการเมืองฯ 15 ก.พ.นี้
น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระราชวัง จับกุมตัวผู้สื่อข่าวภาคสนาม สำนักข่าวประชาไท และช่างภาพอิสระ ในข้อกล่าวหา ‘เป็นผู้สนับสนุนทำให้โบราณสถานเสียหายจากการขีดเขียนข้อความ’ ในฐานะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ว่า วันพฤหัสบดีที่ 15 ก.พ.นี้ จะประชุมกมธ. ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมากในสังคม ดังนั้น เราคิดว่าควรใช้กมธ.เป็นเวทีถกเถียงกัน ว่าความเหมาะสม ทำได้หรือทำไม่ได้ อยู่ตรงไหน โดยจะเชิญสำนักข่าวประชาไทที่เป็นคู่กรณีกับรัฐ และทางตำรวจ สำคัญที่สุด คือเราอยากเห็นจุดยืนของสมาคมสื่อทั้งหมด อยากใช้เวทีของ กมธ. ให้ทั้ง 3 ฝ่ายหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยถึงจุดยืน เพราะหลังจากนี้ไม่ใครการันตีได้ว่า เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ หรือจะเกิดขึ้นกับใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวที่มีต้นสังกัด พลเมืองหรืออิสระก็ตาม อย่างน้อยเวทีกมธ.จะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เห็นหลักว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เราจะมีวิธีการรับมือหรือปฏิบัติกันต่อไปอย่างไร
“กมธ.ได้ประสานไปยังสำนักข่าวประชาไทแล้ว ซึ่งสำนักข่าวประชาไทยินดีเข้ามาพูดคุย สิ่งที่กมธ.ทำเป็นตัวกลางให้ทุกฝ่าย ที่ไม่มีโอกาสพูดคุยกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ไม่อยากจะให้คิดว่าคือกลุ่มคนเฉพาะที่เป็นสื่อมวลชน ตราบใดก็ตามที่สื่อมวลชนโดนกระทำ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพคือการลิดรอนเสรีภาพคนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่บุคคลคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ช่างภาพของสำนักข่าว สำนักข่าวหนึ่ง แต่ทั้งหมดคือการพยายามปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน วันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องยืนยันและตั้งหลักให้ได้ว่าต้องปฏิบัติกับสื่อมวลชนอย่างไร หากคุณยังยืนยันว่าจะสนับสนุนสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพตามที่เคยพูดไว้ วันนี้ต้องตั้งหลักให้ได้ว่า สื่อมวลชนคือคนที่เสนอข้อเท็จจริง และเคียงข้างประชาชนที่ออกมากระทำการใดที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐ ไม่เห็นด้วยกับทุน เขาไม่ใช่คู่กรณีกับรัฐแน่ ๆ สิ่งที่คุณควรทำคือหากไม่สนับสนุน ก็ควรให้เขาได้มีพื้นที่ยืนหยัดในการทำหน้าที่ ขอยืนยันอีกครั้งว่าเราคาดหวังรัฐพลเรือน ที่รัฐบาลพูดอยู่บ่อยครั้งว่า เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แม้จะมีการผสมพันธุ์ข้ามขั้วก็ตาม ดิฉันคิดว่า รัฐบาลที่นำโดยคุณเศรษฐาเลือกได้ว่า ท่านจะปฏิบัติอย่างไร ท่านจะยืนตรงไหนในสังคมนี้ ในฐานะผู้นำประเทศที่สนับสนุนสิทธิการแสดงออกมากน้อยแค่ไหน คิดว่าท่านทำได้” น.ส.ภคมน กล่าว
ส่วนกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำหรือไม่ น.ส.ภคมน กล่าวว่า ถ้าย้อนกลับไปที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวพลเมืองที่ออกมาต่อสู้เคียงข้างนำเสนอการต่อสู้ของประชาชนกับรัฐ จะเป็นกลุ่มคนแรก ๆ ที่ถูกปิดปาก หรือถูกสั่งให้เงียบ แม้ในอดีตเราจะคาดหวังว่า เมื่อมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่เคียงข้างประชาธิปไตย เราคงจะไม่เห็นเหตุการณ์แบบนั้น แต่วันนี้ชัดเจนที่สุดแล้วว่า เหตุการณ์แบบนี้ยังคงเกิดขึ้น ส่วนที่มีข้อสงสัยการเชื่อมโยงกับผู้ชุมนุม ให้เป็นเรื่องการพิสูจน์ไป เพราะการที่ตนมาพูดแบบนี้ คงไม่สามารถทำให้ฝ่ายที่เชื่อไปแล้วเชื่อได้
“แต่สิ่งที่เราเรียกร้องคือการปฏิบัติต่อสื่อมวลชน กล้องของพี่น้องสื่อมวลชนที่กำลังบันทึกอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่คือประชาชนที่ส่งข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงออกไป เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเลือกจะปิดปากคนกลุ่มนี้ เท่ากับว่าคุณเลือกที่จะปิดความจริง ในฐานะรัฐบาล ผู้นำของประเทศฝ่ายบริหาร คุณขี้ขลาด หวาดกลัวความจริงใช่หรือไม่ นี่คือคำถามที่รัฐบาลต้องตอบให้ได้” น.ส.ภคมน กล่าว.-312.-สำนักข่าวไทย