สำนักงานกกต. 21 เม.ย.-“เรืองไกร” ร้อง กกต.สอบเพื่อไทยยุปชช.รับเงินซื้อเสียง เข้าข่ายผิดกม. นโยบายเงินดิจิตอล พร้อมขอให้สอบ “ณัฐวุฒิ” ทำตัวดาวเด่นขึ้นช่วยปราศรัยทั้งที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ยื่นคำร้องต่อกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ 3 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย โดยนายเรืองไกร กล่าวว่า ยื่นขอให้กกต.ตรวจสอบประเด็นแรกที่น.ส. แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิขึ้นเวทีปราศรัยด้วยถ้อยคำว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” คำพูดดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 73 (5) ตนจึงรวบรวมหลักฐานประกอบด้วยคลิปวีดีโอการปราศรัยที่จ.อุดรธานีเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงข้อความจากแพลตฟอร์มของพรรคเพื่อไทยทั้งเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของพรรค
นายเรืองไกร กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 กรณีนายณัฐวุฒิ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ขึ้นเวทีไปปราศรัยช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงได้อย่างไร เนื่องจากนายณัฐวุฒิ นอกจากไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแล้ว ยังต้องคำพิพากษาคดีบุกรุกบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยเจ้าตัวอ้างว่าอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย การกระทำของนายณัฐวุฒิบ่งบอกถึงการเป็นดาวเด่นของพรรคเพื่อไทย จึงเกิดคำถามว่าชี้นำครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาตนเคยยื่นร้องประเด็นดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะนั้นกกต.ชี้แจงว่านายณัฐวุฒิขึ้นไปแค่สวมเสื้อของพรรคอย่างเดียว จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 28 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยเรื่องนี้ตนเทียบเคียงกรณีที่นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อปี 2562 และสวมเสื้อของพรรคแต่ไม่ได้ปราศรัย จึงรวบรวมหลักฐานเพื่อให้กกต.พิจารณา เพราะถ้าการกระทำของนายณัฐวุฒิเข้าข่ายผิดมาตรา 28,29 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองสามารถเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป
นายเรืองไกร กล่าวว่า ส่วนประเด็นสุดท้ายขอให้กกต.ตรวจสอบนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่จะให้ประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยพูดถึงบนเวทีปราศรัย ซึ่งพบฐานข้อมูลว่ามีประชาชนที่สามารถรับสิทธิ์นี้ได้ 56 ล้านคน ใช้งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท โดยการใช้ถ้อยคำว่างบประมาณกับการหาเสียงในนโยบายนี้หมายถึงการใช้งบประมาณแผ่นดินตามมาตรา 140 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งการใช้งบประมาณดังกล่าวจะใช้ได้เฉพาะกฎหมายการเงินการคลัง ไม่สามารถใช้หาเสียงได้ ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เลขาธิการกกต.ต้องรับฟัง การหาเสียงลักษณะนี้ทำเกินกรอบการใช้งบประมาณแผ่นดินหรือไม่
“จากตัวเลขที่ใช้งบประมาณมากถึง 5.6 แสนล้านที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงว่าเป็นเงินมาจากการจัดเก็บภาษี 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขงบประมาณแผ่นดินปี 2567 ที่รัฐบาลคำนวณการจัดเก็บภาษีได้เพียง 2.67 แสนล้านบาท แต่ตัวเลขการจัดเก็บภาษีดังกล่าวถูกรวมอยู่ในกรอบงบประมาณปี 2567 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่มีเงินเหลือไว้ใช้กับนโยบายดังกล่าวแล้ว ผมท้าให้ใครก็ได้มาถกกฎหมายงบประมาณด้วยกัน กางกฎหมายวินัยการเงินการคลัง กางรัฐธรรมนูญมาถกกัน พวกท่านเป็นกรรมาธิการงบประมาณมา 4 ปี แต่ทำไมถึงตกในประเด็นนี้” นายเรืองไกร กล่าว นายเรืองไกร กล่าวว่า ข้อมูลที่บอกว่าจะเก็บเพิ่มได้อีกนั้นไม่ใช่ ซึ่งสำนักงบประมาณได้อธิบายเงินที่จ่ายผ่านกระทรวงต่าง ๆ หน่วยงานต่าง ๆ เป็นร้อยโครงการ ซึ่งเงินเอาไปใช้หมดแล้ว ดังนั้น กรณีกระเป๋าเงินดิจิตอล ต้องกลับไปรื้องบประมาณใหม่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รื้องบของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ทำไว้ก่อนหน้า และถึงแม้ว่าจะรื้อได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะจัดเก็บภาษีได้ตามที่พรรคการเมืองหาเสียงไว้ จึงมองว่าผิดมาตรา 73 (5) หรือไม่ เพราะนโยบายนี้ ก่อนที่เงินจะตกไปอยู่ในกระเป๋าของประชาชน ต้องผ่านกระทรวงต่าง ๆ ของรัฐบาลก่อน แล้วหน่วยงานรัฐไหนจะรับเงินดิจิตอลตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียง.-สำนักข่าวไทย