รัฐสภา 15 ก.พ.-การทางพิเศษฯ แจงการต่อขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 เป็นไปตามกฎหมาย ยึดประโยชน์สูงสุดของประชาชนและภาครัฐ
นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ชี้แจงกรณี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ อภิปรายพาดพิงกรณีการต่อขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน ขั้นที่ 2 และทางพิเศษสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และเข้าใจผิดต่อการดำเนินการและการให้บริการประชาชนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ ดังนั้น ขอชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องว่า มูลหนี้ตามข้อพิพาททั้งหมดจะมีมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท นั้นไม่ถูกต้อง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ขอให้ข้อมูลว่า มูลหนี้ตามข้อพิพาททั้งหมด มีมูลค่า 1.37 แสนล้านบาท ในกรณีหากแพ้คดีกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ซึ่งได้มีการเจรจาต่อรองแล้ว มูลหนี้ทั้งหมดจะมีมูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท
ส่วนที่ พ.ต.อ.ทวี อภิปรายว่า การรับสภาพหนี้ดังกล่าวทำให้ กทพ. มีหนี้เพิ่มจนทำให้ฐานะทางการเงินติดลบเป็นจำนวนมาก จากกำไร 6,000 ล้านบาท เป็นขาดทุน 65,000 ล้านบาท ข้อเท็จจริงคือ ในปี 2563 ที่พบว่าการทางพิเศษแห่งประเทศไทยขาดทุน 65,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขขาดทุนทางบัญชีเท่านั้น สถานะทางการเงินในภาพรวมที่แท้จริงยังมีผลประกอบการที่กำไรทุกปี และนำเงินส่งรัฐปีละประมาณ 3,000 -4,000 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนที่มีการระบุว่า การขยายสัญญาตามมติ ครม. มิชอบตามกฎหมาย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองนั้น ขอยืนยันว่า การทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกฉบับอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม ทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการ และกับเอกชนผู้ร่วมลงทุน โดยยึดประโยชน์สูงสุดของประชาชนและภาครัฐ และความถูกต้องตามกฎหมายและหลักธรรมาภิบาล ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด.-สำนักข่าวไทย