ชัวร์ก่อนแชร์: Ivermectin ช่วยให้รอดตายจากโควิดมากกว่า Remdesivir 70% จริงหรือ?

21 พฤษภาคม 2565
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย: Factcheck.org / Science Feedback (สหรัฐอเมริกา)
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: พีรพล อนุตรโสตถิ์, อดิศร สุขสมอรรถ


ประเภทข่าวปลอม: ทำให้เข้าใจผิด

บทสรุป:


  1. เป็นการบิดเบือนงานวิจัยของผู้สนับสนุนการใช้ยา Ivermectin รักษาผู้ป่วยโควิด-19
  2. งานวิจัยหลายชิ้นในปัจจุบันไม่พบว่ายา Ivermectin มีประโยชน์ต่อการป้องกันหรือรักษาผู้ป่วยโควิด-19

ข้อมูลที่ถูกแชร์:

มีข้อมูลบิดเบือนเผยแพร่ทาง Youtube ในสหรัฐอเมริกา โดย จอห์น แคมป์เบล อดีตพยาบาลเวชปฏิบัติชาวอังกฤษ ผู้ผันตัวมาเป็น Youtuber ด้านสุขภาพจนมีผู้ติดตามกว่า 2 ล้านคน อ้างผลวิจัยว่า ยาฆ่าพยาธิ Ivermectin มีประสิทธิผลในการป้องกันการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ดีกว่ายาต้านไวรัส Remdesivir ที่องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ให้การรับรองถึง 70% จนคลิปวิดีโอดังกล่าวทำยอดวิวก่อนถูกลบไปถึง 770,000 วิว และมีการแชร์ไปแล้วกว่า 10,000 ครั้ง

FACT CHECK: ตรวจสอบข้อเท็จจริง:


คลิปวิดีโอที่ จอห์น แคมป์เบล อัพโหลดเมื่อวันที่ 6 มีนาคมปี 2022 เป็นการวิเคราะห์บทคัดย่องานวิจัยของมหาวิทยาลัย University of Miami ที่นำเสนอผลการศึกษาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2021

ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลการติดเชื้อโควิด-19 ของชาวอเมริกันระหว่างวันที่ 1 มกราคมปี 2020 ถึง 11 กรกฎาคมปี 2021 โดยผู้ป่วยจำนวน 41,608 รายถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่รักษาตัวด้วยยาต้านไวรัส Remdesivir จำนวน 40,536 ราย และกลุ่มที่รักษาตัวด้วยยา Ivermectin จำนวน 1,072 ราย

การศึกษาพบว่ายา Ivermectin มีความสัมพันธ์ต่อการลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 มากกว่ายาต้านไวรัส Remdesivir โดยมีอัตราส่วนอ๊อดส์ (odds ratio) อยู่ที่ 0.308

จอห์น แคมป์เบล จึงทำการสรุปในคลิปวิดีโอว่า การใช้ยา Ivermectin ลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ได้ดีกว่ายาต้านไวรัส Remdesivir ที่ 70%

อย่างไรก็ดี ดร.โฮเซ กอนซาเลส ซาโมรา ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการโรคติดเชื้อ มหาวิทยาลัย University of Miami และผู้ร่วมวิจัยในการศึกษาที่ จอห์น แคมป์เบล กล่าวอ้าง ยืนยันว่าผลวิจัยไม่อาจบอกได้ว่า ยา Ivermectin ช่วยให้ผู้ป่วยโควิด-19 รอดชีวิตมากกว่าการใช้ยาต้านไวรัส Remdesivir ที่ 70% เหมือนที่ จอห์น แคมป์เบล กล่าวอ้าง

ซาโมราให้เหตุผลว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการวิจัยเบื้องต้นและเป็นแค่การศึกษาแบบเฝ้าสังเกตการณ์ แม้พบว่ายา Ivermectin มีความสัมพันธ์ (Association) กับการลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่า การใช้ยา Ivermectin คือสาเหตุ (Causation) ที่ช่วยให้ผู้ป่วยโควิด-19 รอดชีวิต

ซาโมราย้ำว่า ยังมีตัวแปรอีกหลายอย่างที่ต้องพิจารณา ปัจจัยแรกคือ กลุ่มผู้ป่วยที่รักษาตัวด้วยยา Ivermectin มีอายุเฉลี่ยน้อยกว่ากลุ่มที่รักษาตัวด้วยยา Remdesivir ถึง 10 ปี ทำให้กลุ่มที่รักษาตัวด้วยยา Ivermectin มีโอกาสเสียชีวิตจากโควิด-19 น้อยกว่า

นิโคลัส มาร์ค ผู้เชี่ยวชาญด้านปอดและแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล Swedish Medical Center ในเมืองซีแอตเติล อธิบายว่ายา Ivermectin มักจะใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 ระยะเริ่มต้นและยังไม่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ส่วนยา Remdesivir จะใช้รักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่มีอาการหนัก จึงเป็นไปได้สูงที่กลุ่มคนไข้ที่รักษาตัวด้วยยา Remdesivir จะป่วยหนักมากกว่าและมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มคนไข้ที่ใช้ยา Ivermectin

ซาโมราย้ำว่างานวิจัยของเขาและทีมงานไม่ได้ทำขึ้นเพื่อสนับสนุนประโยชน์ของการใช้ยา Ivermectin รักษาผู้ป่วยโควิด-19 เพราะทีมงานของเขาหรือโรงพยาบาลที่เขาสังกัด ต่างไม่แนะนำให้ใช้ยาชนิดนี้รักษาผู้ป่วยโควิด-19

นอกจากนี้ บทสรุปงานวิจัยที่ จอห์น แคมป์เบล เลี่ยงที่จะกล่าวถึง คือการย้ำถึงความสำคัญของการวิจัยในเชิงลึกในอนาคต เพื่อยืนยันหรือหักล้างประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยยา Ivermectin ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้รับการ peer-reviewed หรือการตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการ และได้ยุติโครงการวิจัยไปแล้ว โดยซาโมราชี้แจงผ่านทาง Twitter ว่า ไม่มีเหตุผลที่จะทำการศึกษาต่อเพราะงานวิจัยที่ใช้การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมที่น่าเชื่อถือหลายชิ้นต่างยืนยันว่า Ivermectin ไม่มีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

ภายหลัง จอห์น แคมป์เบล ได้ลบคลิปดังกล่าว ก่อนทำการอัพโหลดคลิปวิดีโอตัวใหม่เพื่อสนับสนุนการใช้ยา Ivermectin รักษาผู้ป่วยโควิด-19 อีกครั้งเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ปี 2022

โดยคลิปตัวล่าสุด เป็นการอ้างงานวิจัยของ ดร.ปีแอร์ คอรี และกลุ่ม Front Line COVID-19 Critical Care Alliance ซึ่งสนับสนุนการใช้ยา Ivermectin รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในสหรัฐฯ เนื้อหากล่าวถึงผลการวิจัยในเมืองอิตาไชอิของประเทศบราซิลซึ่งพบว่า การใช้ยา Ivermectin ลดการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 50%, ลดการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโควิด-19 ได้ถึง 67% และลดการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ถึง 70%

อย่างไรก็ดี งานวิจัยของดร.ปีแอร์ คอรี สร้างเสียงวิจารณ์เรื่องความไม่โปร่งใสตั้งแต่ก่อนการตีพิมพ์ ทั้งปัญหาด้านการติดตามการใช้ยาในกลุ่มตัวอย่าง, ไม่มีการพิจารณาผลกระทบจากตัวแปรกวน และพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผู้วิจัยและบริษัทผู้ผลิตยา Ivermectin

งานวิจัยของ ดร.ปีแอร์ คอรี ได้รับการเผยแพร่ทางวารสารงานวิจัย Cureus เมื่อวันที่ 15 มกราคมปี 2022 ซึ่งถือเป็นวารสารที่เปิดให้ผู้วิจัยนำผลงานมาเผยแพร่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และใช้เวลาในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในระยะเวลาที่สั้นกว่าวารสาร peer-reviewed เจ้าอื่นๆ

การตื่นตัวต่อยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทำให้นักวิทยาศาสตร์นำยา Ivermectin มาศึกษาประสิทธิผลในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อย่างแพร่หลาย

หนึ่งในงานวิจัยชิ้นล่าสุด คืองานวิจัยที่ใช้การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมที่น่าเชื่อถือจากประเทศมาเลเซีย และได้รับการเผยแพร่ทางวารสารงานวิจัย JAMA Internal Medicine เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ปี 2022 ผู้วิจัยพบว่า การใช้ยา Ivermectin รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ระยะเริ่มต้นจำนวน 490 คน ไม่พบว่าตัวยามีประโยชน์ในการป้องกันการป่วยหนักจากการติดเชื้อโควิด-19 และพบว่า 21.6% ของคนไข้กลุ่มที่ใช้ยา Ivermectin ลงเอยด้วยการป่วยหนักจากโควิด-19 แต่คนไข้ในกลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้ยา Ivermectin มีอัตราการป่วยหนักจากโควิด-19 เพียง 17.3% เท่านั้น

ดร.สตีเวน ชี ลูน ลิม แพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาล Raja Permaisuri Bainun Hospital ในมาเลเซีย และผู้ร่วมวิจัยชิ้นนี้ ชี้แจงว่าการศึกษาของตนพิสูจน์คือการว่า Ivermectin ไม่ใช่ยาวิเศษเหมือนที่ผู้คนกล่าวอ้าง ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ควรเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที การหลงเชื่อข้อมูลเท็จแล้วตัดสินใจรักษาตัวเองด้วยยาที่ไร้ประสิทธิผล จะทำให้การรักษาเป็นไปอย่างล่าช้าและอาการป่วยจะรุนแรงยิ่งขึ้น

ข้อมูลอ้างอิง:

https://www.factcheck.org/2022/03/scicheck-evidence-still-lacking-to-support-ivermectin-as-treatment-for-covid-19/
https://healthfeedback.org/claimreview/ivermectin-wasnt-shown-more-effective-than-remdesivir-contrary-to-claim-by-john-campbell/

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เก๋งซิ่งแหกโค้งชนเสาเหล็ก ไฟลุกไหม้คลอกคนขับดับสลด

ลพบุรี 6 มิ.ย. – เก๋งหรูซิ่งเสียงดังลั่น หมุนโชว์กลางสี่แยก ก่อนแหกโค้งชนเสาเหล็กป้ายข้างทางไฟลุกไหม้เสียหายทั้งคัน คลอกคนขับดับสลด เมื่อเวลา 03.30 น.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.ชาตรี ทรัพย์นิยมพงศ์ ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี รับแจ้งรถเก๋งชนเสาข้างถนน ไฟลุกไหม้ทั้งคัน บนถนนทางเข้าบ้านหนองน้ำทิพย์ หมู่ 7 ต.เขาพระงาม อ.เมืองลพบุรี พร้อมแจ้งรถน้ำดับเพลิงป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลตำบลเขาพระงาม รุดไปดับไฟ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมตรวจสอบ จุดเกิดเหตุพบไฟกำลังลุกไหม้โหมทั่วไปทั้งคันรถ สังเกตดูเบื้องต้นคนขับติดอยู่ที่เบาะนั่งสภาพหมดสติ เจ้าหน้าที่เร่งระดมฉีดน้ำใช้เวลาประมาณ 15 นาที เพลิงสงบ จากการตรวจสอบด้านซ้ายรถชนอัดอยู่กับเสาเหล็กป้ายบอกทาง สภาพเหลือแต่ซาก เบื้องต้นพบเป็นรถเก๋งยี่ห้อยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ไม่ทราบสี-ทะเบียน ถูกไฟไหม้ เหลืออยู่ครึ่งป้าย ภายในรถพบร่างชายถูกไฟไหม้เกรียม ยังไม่ทราบชื่อว่าเป็นใครมาจากไหน สอบถามนางเล็ก ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองนั่งเฝ้าเครื่องสูบน้ำใกล้จุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงรถเก๋งคันดังกล่าวขับซิ่งมาจากแยกเขาพระงาม มุ่งหน้าไปทางโคกสำโรง เสียงท่ออย่างดังลั่น พอมาถึงสามแยกบ้านหนองน้ำทิพย์ ได้หมุนโชว์กลางแยก 1 รอบ จากนั้นขับไปยูเทิร์นกลับมาอีกรอบ เลี้ยวเข้าทางแยกหนองน้ำทิพย์ได้ประมาณ 300 เมตร […]

ตำรวจเร่งตามหาเจ้าของเงิน 12 ล้าน วางทิ้งข้างถังขยะ

นนทบุรี 6 มิ.ย. – ตำรวจเร่งตามหาเจ้าของเงินสด 12 ล้าน ในกล่องพลาสติก วางทิ้งข้างถังขยะคอนโดฯ ย่านเมืองทองธานี จากกรณีพลเมืองดีพบธนบัตรไทยจำนวนมาก ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในกล่องพลาสติก บริเวณคอนโดฯ ย่านเมืองทองธานี จ.นนทบุรี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบเอกสารเกี่ยวกับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายและซองจดหมาย ปรากฏชื่อบุคคลและหน่วยงานรัฐในเอกสาร จึงได้ยึดธนบัตรดังกล่าวมาที่ สภ.ปากเกร็ด เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเงินอะไร ได้มาถูกต้องหรือไม่ และใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เบื้องต้นพบเป็นเงินสดจำนวน 12 ล้านบาท และเมื่อเจ้าหน้าที่นำสายรัดของธนบัตรดังกล่าวไปตรวจสอบ พบว่ามีการจ่ายเงินออกมาจำนวนดังกล่าวตั้งแต่ปี 2563    พลเมืองดีเล่าว่า เวลาประมาณ 20.00 น. ของเมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.) ตนและเพื่อนเดินไปลิฟต์ที่ชั้น 4 ซึ่งข้างลิฟต์เป็นที่ทิ้งขยะ เห็นกล่องสภาพดีวางอยู่ ก็จะเก็บไปใช้ ซึ่งกล่องถูกเปิดแง้มเอาไว้และมีเสื้อผ้าวางทับด้านบน จึงเปิดดูพบเงินสดฉบับละ 1,000 บาท เป็นมัดๆ จำนวนมาก จึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ความคืบหน้าในการติดตามหาตัวคนที่นำกล่องเงินมาทิ้ง ตำรวจสืบสวน สภ.ปากเกร็ด ได้ลงพื้นที่ไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณจุดที่พบเพื่อหาเบาะแสคนที่นำกล่องพลาสติกมาทิ้ง เบื้องต้นยังไม่พบผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ยังได้พยายามติดต่อกับ นายทวีวัฒน์ […]

น้ำมันรั่วลงทะเล

สั่งเจ้าท่าระงับเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar

ชลบุรี 6 มิ.ย.- “มนพร” สั่งการกรมเจ้าท่าตั้งศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาและควบคุมสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar บริเวณท่าเรือบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ศรีราชา จังหวัดชลบุรี นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการให้ นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน เพื่อ ระงับเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar ซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันดิบสัญชาติสิงคโปร์ หมายเลข IMO 9828962 โดยเหตุเกิดบริเวณทุ่นรับน้ำมันกลางทะเล (SBM2) ของบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 00.54 น. โดยมีสาเหตุมาจากท่อส่งน้ำมันที่ชำรุด ส่งผลให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเลในปริมาณประมาณ 20 คิว หรือราว 20 ตัน กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการประเมินสถานการณ์โดยเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ ณ โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทไทยออยล์ จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นศูนย์กลางในการควบคุมเหตุการณ์ ทั้งนี้กรมเจ้าท่าในฐานะเลขานุการศูนย์ประสานงาน ได้ประสานกองทัพเรือจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในการขจัดคราบน้ำมัน จากการสำรวจพื้นที่ พบว่าลักษณะของคราบน้ำมันเป็นคราบสีดำหรือน้ำตาลบาง ๆ […]

นักศึกษาเจอคอลเซ็นเตอร์ปั่นหัวถือมีดบุกโรงพัก

เชียงใหม่ 5 มิ.ย. – แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกนักศึกษาเชียงใหม่ สูญกว่า 2 ล้านบาท พ่อแม่เครียดหมดเนื้อหมดตัว บางรายถูกปั่นหัวให้ถือมีดบุกโรงพักเย้ยตำรวจ พบเฉพาะ สภ.ภูพิงค์ฯ มีเหยื่อโดนหลอกลักษณะนี้แล้วกว่า 300 ราย กล้องวงจรปิดบันทึกภาพนักศึกษาสาว ชั้นปีที่ 4 ขี่รถจักรยานยนต์มาจอดภายใน สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นเดินไปเข็นวีลแชร์ที่อยู่ตรงหัวมุมอาคาร แล้วก็เข็นไปเข็นมาอยู่อย่างนั้น ก่อนจะถือมีดไปที่บริเวณห้องรับแจ้งความ และอ้างว่า จะมาขอพบตำรวจนายหนึ่ง แต่ไม่มีชื่อนี้อยู่ที่โรงพัก จึงขอพบ พันตำรวจเอก มนัสชัย อินทร์เถื่อน ผู้กำกับ สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เพราะไปฆ่าคนตายมา ขณะนั้น ตำรวจสืบสวนสังเกตเห็นว่า นักศึกษาสาวมีท่าทางหวาดระแวงใส่หูฟังเหมือนกับทำตามคำสั่งใครสักคนที่สั่งการจากปลายสาย ด้านตำรวจจึงชวนพูดคุยสอบถามสักพัก จนยอมวางมีดลง จากนั้น ตำรวจจึงขอให้ดึงหูฟังออก ปรากฏว่า นักศึกษาสาวกลับได้สติขึ้นมาว่า ชายที่สั่งการทางโทรศัพท์ไม่ใช่ตำรวจจริง เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่งให้มาป่วนตำรวจ เนื่องจากไม่มีเงินโอนให้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจจึงตรวจสอบพบว่า ในวันเดียวกัน […]

ข่าวแนะนำ

ลอบวางระเบิด 2 จุด กลางตลาดโต้รุ่งเมืองปัตตานี

ปัตตานี 8 มิ.ย. – คนร้ายลอบวางระเบิดกลางตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี รถจักรยานยนต์เสียหาย 2 คัน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต วันที่ 8 มิ.ย.68 เวลา 20.00 น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มจำนวน ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 2 ลูก โดยจุดแรก วางระเบิดในถังขยะ หน้าร้านทอง บริเวณตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย จำนวน 2 คัน และจุดที่ 2 วางระเบิดในถังขยะ บริเวณในซอยข้างโรงแรม หลังตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต การก่อเหตุครั้งนี้ คาดว่าเป็นการก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลข่าวสารที่หน่วย ส.จว.ปัตตานี ได้ออกข่าวแจ้งเตือนไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 พ.ค.68 เวลา 15.00 น. ปรากฏข่าวสารว่า นายมะกอเซ็ง หม้าแอ สมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ และสมาชิกจำนวน […]

นายกฯ เผยหารือกัมพูชา ตกลงปรับกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย ลดเผชิญหน้า

ทำเนียบรัฐบาล 8 มิ.ย. – นายกฯ เผยหารือกับรัฐบาลกัมพูชา ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดการเผชิญหน้า เดินหน้าใช้กลไก JBC 14 มิ.ย.นี้ นำพาความสัมพันธ์เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน โดยการปฏิบัติงานของทั้งระดับนโยบาย โดยรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับค่ะ ดิฉันได้หารือกับรัฐบาลกัมพูชา มีข้อสรุปที่ส่งผลดีต่อสถานการณ์ โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร ณ จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้า และจะพัฒนาความร่วมมือโดยใช้กลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และจะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วค่ะ ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อเท็จจริงจากรัฐบาล พร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจนประสบผลสำเร็จต่อไป สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนได้โปรดคลายความกังวล และมีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลว่า จะไม่มีเหตุกระทบกระทั่งที่รุนแรงเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ.-316-สำนักข่าวไทย

โฆษก ทบ. ยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลัง-กลบคูเลต ลดตึงเครียด

8 มิ.ย. – โฆษก ทบ. ยืนยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลังกลับไปอยู่จุดเดิม พร้อมกลบคูเลตให้คืนสู่สภาพเดิม หลังบรรลุข้อตกลงการหารือ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก ลดความตึงเครียด วันนี้ (8 มิ.ย.68)​ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย โดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับกรณีปัญหาการรุกล้ำดินแดนในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก จากการหารือเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือ ฝ่ายทหารกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุปะทะ หรือแนวต้นพญาสัตบรรณ ลึกเข้าไปในเขตแดนของประเทศกัมพูชา จุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยใช้เป็นแนววางกำลังฐานมาโดยตลอดในอดีต นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังแสดงความยินยอมที่จะดำเนินการกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเป็นการลดความตึงเครียด และสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ภายหลังจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เป็นช่องทางในการหารือแนวทางบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป.-313-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 สั่งกองกำลังสุรนารี ปรับเวลาเปิด-ปิด จุดผ่านแดนกัมพูชา 

8 มิ.ย.- เกาะติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แม่ทัพภาค 2 ลงนามคำสั่งให้อำนาจผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พิจารณาปรับเวลาเปิด-ปิด ด่านถาวรและจุดผ่อนปรนการค้า 4 ด่าน มีผลทันทีเมื่อคืนนี้ กองทัพภาคที่ 2 ออกหนังสือคำสั่ง การควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ตามคำสั่งกองทัพบก เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ให้กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังกำลังสุรนารีมีอำนาจการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี วิธีการและเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา ที่จำเป็นเหมาะสม ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ดังนี้