ชัวร์ก่อนแชร์: ยอดเสียชีวิตโควิด-19 จงใจทำให้สูงเกินจริง จริงหรือ?

10 พฤษภาคม 2565
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย: Science Feedback (สหรัฐอเมริกา)
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: พีรพล อนุตรโสตถิ์, อดิศร สุขสมอรรถ


ประเภทข่าวปลอม: ข้อมูลเท็จ

บทสรุป:


  1. ข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่ารายงานการเสียชีวิตจากโควิด-19 น้อยกว่าความเป็นจริง,
  2. เครื่องช่วยหายใจไม่ใช่สาเหตุให้ผู้ป่วยโควิดเสียชีวิต
  3. ไม่พบหลักฐานว่าโรงพยาบาลในสหรัฐฯ เพิ่มยอดผู้ป่วยโควิดเพื่อหวังเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล

ข้อมูลที่ถูกแชร์:

มีข้อมูลเท็จเผยแพร่ทางเว็บไซต์ในสหรัฐอเมริกา โดย Epoch Times เว็บไซต์ที่มีประวัติเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโควิด-19 ได้ตีพิมพ์บทความของ โจเซฟ เมอร์โคลา ผู้ที่ศูนย์ Center for Countering Digital Hate ยกให้เป็นเผยแพร่ข้อมูลเท็จเพื่อการต่อต้านวัคซีนที่เลวร้ายที่สุด โดยเขาแสดงความเห็นว่ายอดการเสียชีวิตจากโควิด-19 สูงเกินความเป็นจริง เพราะแพทย์จงใจรวมการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อที่มีโรคประจำตัวให้มีสาเหตุการตายจากโควิด-19 ทั้งหมด โดยตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่ มาจากการทำงานที่บกพร่องของเครื่องช่วยหายใจ และมีความพยายามของโรงพยาบาลในสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มยอดผู้ป่วยโควิด-19 เนื่องจากจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ มากกว่าการรักษาผู้ป่วยทั่วไป

FACT CHECK: ตรวจสอบข้อเท็จจริง:


จากการตรวจสอบโดย Science Feedback พบว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง และสามารถแยกเป็นประเด็นได้ดังนี้

  1. การแจ้งยอดเสียชีวิตจากโควิด 19 สูงเกินความเป็นจริง (ข้อมูลเท็จ)

ข้ออ้างของ โจเซฟ เมอร์โคลา นำมาจากคลิปวิดีโอ Freedom of information revelation โดย จอห์น แคมป์เบล อดีตพยาบาลเวชปฏิบัติที่อ้างว่า ยอดยอดเสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหราชอาณาจักรสูงเกินความเป็นจริง เนื่องจากผู้เสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 ที่มีโรคประจำตัวจะถูกนับว่าเสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งหมด ซึ่งจอห์น แคมป์เบลและโจเซฟ เมอร์โคลาต่างมองว่า ผู้เสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 โดยไม่มีปัจจัยเสริมอื่นๆ เท่านั้น ที่ควรจัดว่าเสียชีวิตจากโควิด-19 ส่วนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ที่มีโรคประจำตัว ไม่ควรจัดอยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19

แต่การอ้างดังกล่าวขาดซึ่งเหตุและผล เพราะผู้เสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 ที่มีโรคประจำตัวส่วนใหญ่ อาจไม่ต้องจากไปหากพวกเขาไม่ติดเชื้อโควิด-19 ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยหนักหรือเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้นผู้เสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 และมีโรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัว จะมีสาเหตุการเสียชีวิตจากโควิด-19 ไม่ใช่เพราะเป็นโรคเบาหวาน

ในความเป็นจริงแล้ว วงการแพทย์ทั่วโลกต่างประเมินว่ายอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ถูกรายงานต่ำกว่าความเป็นจริง โดยผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐฯ ประเมินว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ สูงกว่ารายงานอย่างเป็นทางการประมาณ 20% ส่วนผลวิจัยในอินเดียที่เผยแพร่ทางวารสาร Science ประเมินว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในอินเดียที่สำรวจจนถึงเดือนกันยายนปี 2021 สูงกว่ารายงานอย่างเป็นทางการ 6 ถึง 7 เท่า

  1. ผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิตเป็นจำนวนมากเพราะเครื่องช่วยหายใจทำงานบกพร่อง (ข้อมูลเท็จ)

โจเซฟ เมอร์โคลา อ้างบทความจากเว็บไซต์ข่าวสุขภาพ STAT News เมื่อวันที่ 8 เมษายนปี 2020 ที่พบว่าผู้ป่วยโควิด-19 ที่ใช้เครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาลในนครนิวยอร์ก ซิตี้เสียชีวิตถึง 80%

อย่างไรก็ดี รายงานของ STAT News ไม่ได้บอกว่าผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิตเพราะการใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่รายงานว่า เมื่อแพทย์มีความเข้าใจเกี่ยวกับโควิด-19 มากขึ้น จึงลงความเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีค่าออกซิเจนในกระแสเลือดในระดับ 93% ใช้เครื่องช่วยหายใจเสมอไป และมีการกำหนดค่าออกซิเจนในกระแสเลือดที่เหมาะสมต่อการใช้เครื่องช่วยหายใจให้ต่ำลงกว่าเดิม

แม้ในรายงานข่าวจะกล่าวถึงประเด็นที่พบว่า เครื่องช่วยหายใจไม่มีผลต่อการยื้อชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ระยะสุดท้าย และอาจส่งผลเสียต่อผู้ป่วยบางราย แต่ในรายงานข่าวไม่ได้บอกว่าเครื่องช่วยหายใจคือสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 แต่อย่างใด

ข้ออ้างที่บอกว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ใช้เครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาลในนครนิวยอร์ก ซิตี้เสียชีวิตถึง 80% นำมาจากงานวิจัยที่เผยแพร่ทางวารสารงานวิจัย JAMA เมื่อวันที่ 22 เมษายนปี 2020 ที่พบว่าผู้ป่วยโควิด-19 ที่ใช้เครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาล Northwell Health ในนครนิวยอร์ก ซิตี้เสียชีวิตถึง 88%

อย่างไรก็ดี หลังงานวิจัยเผยแพร่ไปเพียง 2 วัน ก็มีการแก้ไขจำนวนผู้เสียชีวิตที่ใช้เครื่องช่วยหายใจจาก 88% เหลือเพียง 24.5%

สอดคล้องกับงานวิจัยที่เผยแพร่ทางวารสารงานวิจัย ATS เมื่อเดือนเมษายนปี 2020 ที่พบว่าผู้ป่วยโควิด-19 ที่ใช้เครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาล Massachusetts General Hospital ในเมืองบอสตันเสียชีวิตไม่ถึง 17%

แม้เครื่องช่วยหายใจจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้ แต่หน้าที่ของเครื่องช่วยหายใจคือการช่วยให้ผู้ป่วยมีออกซิเจนเพียงพอระหว่างการรักษาตัว ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโควิด 19

  1. โรงพยาบาลพยายามเพิ่มยอดผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อหวังเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล (ทำให้เข้าใจผิด)

โจเซฟ เมอร์โคลา อ้างว่าโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐฯ พยายามเพิ่มยอดการตรวจหาเชื้อโควิด-19, ยอดการพบเชื้อโควิด-19, ยอดการรับผู้ป่วยโควิด-19, ยอดการใช้ยารักษาผู้ป่วยโควิด-19, ยอดการใช้เครื่องช่วยหายใจ และยอดการเสียชีวิตจากโควิด-19 เพื่อหวังเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ

ศูนย์บริการด้านประกันสุขภาพของสหรัฐ (CMS) จะจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 มากกว่าผู้ป่วยอื่นๆ ประมาณ 20% และให้เงินช่วยเหลือผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจมากกว่าผู้ป่วยทั่วไปถึง 3 เท่า และยังสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับยารักษาโควิด-19 ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ทั้ง Remdesivir, Molnupiravir, Baricitinib, Paxlovid รวมถึงพลาสม่าจากผู้ป่วยโควิด-19

แม้จะเป็นจริงที่ว่า โรงพยาบาลในสหรัฐฯ จะทำเงินจากระบบประกันสุขภาพได้มากกว่า หากรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่ไม่หลักฐานว่ามีโรงพยาบาลบิดเบือนยอดผู้ป่วยโควิด-19 ให้สูงเกินจริงเพื่อหวังกำไร เพราะการรายงานยอดผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิด-19 มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ยังคาดว่ายอดผู้ป่วยโควิด-19 ในสหรัฐฯ ต่ำกว่าความเป็นจริงจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจหาเชื้อ

ข้อมูลอ้างอิง:

https://healthfeedback.org/claimreview/claim-covid-19-deaths-vastly-overcounted-baseless-evidence-suggests-the-opposite-joseph-mercola-epoch-times/

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธไฮเทคสำหรับยิงโดรน

นครราชสีมา 2 ส.ค.-กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้ทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เรียบร้อยแล้ว ด้านชาวอุดรธานี แห่บริจาคหนังสติ๊กพร้อมลูกแก้ว ตามที่ทหารขอมาจำนวนมาก หลังทหารกัมพูชายังก่อกวน ยั่วยุ ทั้งขว้างก้อนหินใส่ และมีโดรนปริศนามาบินอีก จากกรณีที่ช่วงนี้ มีการตรวจพบโดรนไม่ทราบฝ่าย เข้ามาบินตรวจการณ์ในพื้นที่ที่ตั้งทางทหาร ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวล และสงสัยว่าอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงจากประเทศเพื่อบ้าน ที่กำลังมีปัญหาระหว่างประเทศกับประเทศไทย ทำให้เมื่อวานเพจกองทัพภาคที่ 2 ได้แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้มีการทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.68) เฟซบุ๊กเพจ กองทัพภาคที่2 ได้แชร์ข้อมูลเพจ SMART Soldiers Strong ARMY พร้อมระบุข้อความว่า “หากศัตรูซ่อนตัวในเงามืด เราจะเป็นแสงที่มองเห็นมันก่อนใคร”เลเซอร์พร้อมยิง — ทหารไทยพร้อมรบโดยอาวุธชนิดนี้ คือ Directed Energy Weapon หรือ (DEW) เป็นอาวุธยุคใหม่ที่กองทัพอากาศไทยพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง […]

โฆษก ทบ. ซัดเขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมร

2 ส.ค. – โฆษกกองทัพบก ซัด เขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมรจนพิการและมีปัญหาทางจิต ยันมีหลักฐานชัดทำทุกอย่างภายใต้กติกาสากล จากกรณี สื่อกัมพูชาปั่นข่าวหนักโจมตีกล่าวหาไทย อ้างว่าปฏิบัติโหดกับ 2 ทหารกัมพูชาที่ถูกส่งกลับ จนพิการและมีปัญหาทางจิต พร้อมจะยื่นเรื่องถึงยูเอ็นนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 11.08 น. วันที่ 2 ส.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กรณีที่ทหารไทยจับกุม และควบคุมตัว ทหารกัมพูชา ภายหลังจากข้อตกลงหยุดยิง โดยกล่าวหาว่าไทยทำร้ายร่างกายอย่างไม่เป็นธรรมทำก่อนส่งกลับนั้น เป็นเพียงคำกล่าวหา บิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา และการหยุดยิงแบบฉับพลัน แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธต่อกัน ยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงตามกฎหมายสากล กระบวนการฝ่ายทหารในการควบคุมตัวไว้ก่อน จึงยังสามารถทำได้ตามอนุสัญญาเจนีวา พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพบก มีแผนและพร้อมที่จะเชิญองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICRC มาดูความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งอยู่ในกรอบการดำเนินการตามขั้นตอนของอนุสัญญาเจนีวาอย่างสมบูรณ์ และชัดเจน หากกังวลเรื่องความเป็นอยู่ เพราะรู้เท่าทันว่าฝ่ายกัมพูชาจะนำเรื่องนี้ไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายทหารไทย ทางผู้แทน UNHCR และ ICRC จึงสามารถขอเข้ามาดูได้ […]

ชาวบ้านร่วมวางดอกไม้ไว้อาลัยเหตุกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อ

ศรีสะเกษ 2 ส.ค.-เช้านี้บรรยากาศที่ปั๊มน้ำมันบ้านผือ อ.กันทรลักษ์ เต็มไปด้วยความสลด ชาวบ้านร่วมกิจกรรมวางดอกไม้แสดงความไว้อาลัยผู้เสียชีวิต จากเหตุถูกกัมพูชายิงจรวดใส่ และจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆในอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทยอยเดินทางมาที่ปั๊ม ที่ถูกกัมพูชาโจมตีโดยการยิงจรวด BM-21 ใส่ เมื่อวันที่24 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยจรวจตกใส่บริเวณร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บอีก 15 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีแม่และลูกวัย 8 ขวบ ชาวบ้านร่วมกันเขียนข้อความแสดงความไว้อาลัย ก่อนร่วมกันนำข้อความพร้อมดอกไม้ชูขึ้น เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ว่าการที่ทหารกัมพูชาโจมตีพื้นที่พลเรือนถือเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม จากนั้นได้รวมกันนำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความไว้อาลัยบริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อที่ถูกกัมพูชายิงจรวดใส่ นอกจากชาวบ้านแล้วยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร ที่มาร่วม วางดอกไม้ แสดงความไว้อาลัย ตัวแทนชาวบ้านบอกว่า การร่วมวางดอกไม้ในครั้งนี้เพื่อต้องการให้ผู้เสียชีวิตไปสู่ภพภูมิที่ดี พร้อมขอประณามกัมพูชา ที่เลือกยิงเป้าหมายเป็นประชาชน ทั้งที่ตำบลเมืองถือเป็นพื้นที่สีเขียว แต่ยังมีกระสุนตกใส่ และการที่เป็นพื้นที่สีเขียว จึงไม่ได้มีการอพยพประชาชน หากตกใส่หมู่บ้าน เชื่อว่าจะมีความสูญเสียเกิดขึ้นมากกว่านี้.-สำนักข่าวไทย

กองทัพบก ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน

กทม. 2 ส.ค.-กองทัพบกบูรณาการทุกภาคส่วน ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน หลังพบมีความพยายามบินตรวจการณ์ที่ตั้งทางทหาร ตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2568 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน หรือ “โดรน” ที่ควบคุมการบินจากภายนอก, ทุกวัตถุประสงค์การใช้งาน, และทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจในการใช้ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone System) รวมถึงสามารถดำเนินการทำลายโดรนจากภาคพื้นดินได้ทันที ในการนี้ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ถึง 4 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ถึง 4 ดำเนินมาตรการตามแนวทางดังต่อไปนี้ •ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด โดยมีรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ฝ่ายทหาร) เป็นผู้รับผิดชอบในการหารือและประสานการปฏิบัติกับส่วนราชการ หน่วยงาน และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคเป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมและวางแผนภาพรวมในการป้องกันและต่อต้านการใช้โดรนไม่ทราบฝ่าย •ให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัด ตำรวจภูธรจังหวัด หน่วยงานความมั่นคง ภาคเอกชน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งจัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วยกำลังจากฝ่ายพลเรือน ตลอดจนตำรวจจากสถานีตำรวจภูธร […]