กรุงเทพฯ 26 พ.ค. – เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 7 เดือนครึ่ง ที่ 32.38 บาท/ดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ 32.40-32.42 บาท/ดอลลาร์ฯ (09.46 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 32.58 บาท/ดอลลาร์ฯ รอดูตัวเลขส่งออกเดือนเมษายน ตลาดคาดอาจโตกว่า 12%
นส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องสัญญาณซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติ และการแข็งค่าของสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขาย (ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ฯ ร่วงต่ำกว่าแนว 99 แตะระดับต่ำสุดในรอบประมาณ 1 เดือน) หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เลื่อนการเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 50% กับสหภาพยุโรป (EU) ไปเป็นวันที่ 9 ก.ค. จากเดิม 1 มิ.ย. สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.70 บาท/ดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือน เม.ย. ของไทย ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานะฟันด์โฟลว์ต่างชาติ และประเด็นสงครามการค้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าเงินบาทแข็งค่า ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซนแนวต้านระยะสั้น 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าของตลาดเอเชีย แม้ว่าเงินดอลลาร์ยังคงทรงตัว แต่ราคาทองคำกลับเผชิญแรงขายทำกำไรเพิ่มเติม กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงเข้าใกล้ระดับช่วงราว 17.00 น. ของวันศุกร์ก่อนหน้า ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งการปรับตัวลงของราคาทองคำดังกล่าว ประกอบกับกับแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนแถวโซนแนวรับสำคัญของเงินบาท ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง
สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะออกมาดีกว่าคาด จนผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่เกิน 2 ครั้ง ในปีนี้ แต่ธีม “Sell US Assets” จากความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ยังคงกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงราว -2% สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากสหรัฐฯ และรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) Jerome Powell
ในส่วนของไทย บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) ของไทยในเดือนเมษายน อาจโตกว่า 12% ตามอานิสงส์การเร่งนำเข้าสินค้าไทยก่อนเผชิญนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) อาจขยายตัวราว 7% อย่างไรก็ดี ยอดการส่งออกของไทยที่ขยายตัวได้โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา กลับไม่ได้สะท้อนว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวได้ดีเช่นกัน โดยปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรัง กอปรกับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากจีน จะยังคงทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเมษายน หดตัวถึง3.5% ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) อาจอยู่แถวระดับ 63% ไม่ต่างจากเดือนก่อนนัก
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่ามีกำลังมากขึ้น สวนทางกับที่เราได้ประเมินไว้ก่อนหน้า แนะนำว่าผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.15-32.95 บาท/ดอลลาร์ฯ. -511-สำนักข่าวไทย