เลย 27 พ.ค. – สำรวจเส้นทางสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จ.เลย พบมีนายทุนภาคตะวันออกกว้านซื้อที่ดินสร้างรีสอร์ตเกือบ 10 ปีแล้ว ขณะที่ตัวแทนภาคประชาชนพร้อมเคลื่อนไหวหากจะมีการสร้างถนนเดินรถนำชมแหล่งท่องเที่ยวบนภูกระดึง แทนการเดินเท้า เพราะจะกระทบต่อระบบนิเวศภูกระดึงอย่างร้ายแรง
ทีมข่าวสำนักข่าวไทยลงพื้นที่แนวเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ใกล้บ้านห้วยเดื่อ ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย ซึ่งจะใช้เป็นสถานีต้นทางกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ไปสู่สถานีปลายทางบนยอดภู ประมาณ 4.40 กิโลเมตร ระหว่างผาหมากดูก ห่างจากหลังแปไปทางทิศตะวันตกประมาณ 600 เมตร หากไม่นับรวมสถานีต้นทาง ปลายทาง จะใช้เสาที่รองรับตามแนวกระเช้าไฟฟ้า 12 เสา โดยการกำหนดทางเลือกของแนวเส้นทางพิจารณาทั้งด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่อุทยานฯ ได้คะแนนรวมมากที่สุดในจำนวน 5 เส้นทาง ทีมข่าวพบว่าบริเวณฝั่งตรงข้ามสถานีต้นทาง มีนายทุนจากภาคตะวันออกมากว้านซื้อที่ดินสร้างรีสอร์ตเกือบ 10 ปีแล้ว สอดคล้องกับห้วงเวลาที่คณะรัฐมนตรีรับทราบมาตั้งแต่ต้นปี 2559 ว่าจุดนี้เหมาะสมเป็นแนวกระเช้าไฟฟ้ามากที่สุด
ภาคประชาชนจ่อเคลื่อนไหวหากมีการสร้างถนนบนภูกระดึง
ด้านเลขาธิการสมัชชาประชาชนอีสานเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ลำพังการสร้างกระเช้าไฟฟ้าไม่ค่อยเป็นห่วง เข้าใจว่าการอนุรักษ์และพัฒนาต้องเดินไปด้วยกัน แต่ตนไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ หากจะต้องตัดถนนเพื่อเดินรถรางหรือรถซาฟารี นำชมแหล่งท่องเที่ยวบนภูกระดึง จะสร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบนิเวศของภูกระดึงที่เป็นสมบัติของคนทั้งชาติ และเชื่อว่านักอนุรักษ์ทั้งประเทศจะไม่ยอม และตนพร้อมจะเคลื่อนไหวหากมีการทำแบบนั้นจริงตามที่อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เคยให้สัมภาษณ์

ขณะที่ นายบุญหอง จันทาสี ประธานลูกหาบภูกระดึง จ.เลย กล่าวว่า ยึดอาชีพลูกหาบมา 18 ปี ปัจจุบันอายุ 50 ปี ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ มีอาการข้อเข้าเสื่อม อีกไม่กี่ปีคงบอกลาอาชีพนี้ เพราะลูกๆ อยากให้เลิก แม้ช่วงไฮซีซั่นจะทำเงินได้นับแสนต่อเดือน แต่เป็นงานหนักที่ต้องเอาสภาพร่างกายเข้าแลก เดิมบรรดาลูกหาบที่ปัจจุบันมีไม่ถึง 300 คน กังวลใจว่าอาชีพนี้จะหายไป สัมภาระของนักท่องเที่ยวจะน้อยลง แต่ระยะหลังรู้สึกดีขึ้น เมื่อหน่วยงานต่างๆ เข้ามาให้ข้อมูล และรับปากว่าจะพิจารณารับเข้าทำงานในกิจกรรมท่องเที่ยวที่เกี่ยวเนื่องกับกระเช้าไฟฟ้าเป็นกลุ่มแรก หากต้องเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงาน.-สำนักข่าวไทย