กรุงเทพฯ 7 พ.ค. – กทม. ดึงเทคโนโลยีสัญญาณไฟจราจร Adaptive Control นำร่อง 72 แยก เพื่อคนกรุงเทพฯ พบช่วงไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน การจราจรดีขึ้นประมาณ 15% ส่วนชั่วโมงเร่งด่วนอยู่ระหว่างเก็บข้อมูล
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารสำนักการจราจรและขนส่ง ลงพื้นที่บริเวณถนนสุขุมวิท 101/1 เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อส่องระบบสัญญาณไฟจราจรอัตโนมัติ Adaptive Control หรือการปรับสัญญาณไฟตามปริมาณการจราจร
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันสัญญาณไฟจราจรในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 500 แยก ซึ่งเป็นระบบอัตโนมือ คือให้ตำรวจเป็นคนกดสัญญาณไฟตามสภาพการจราจรที่เห็น หรือตั้งเวลาไว้ หากเราเห็นสัญญาณไฟที่เมื่อแดงปุ๊บแล้วมีการนับถอยหลังเลยจะเป็นแบบตั้งเวลาไว้ ไม่ได้ปรับตามสภาพการจราจร ซึ่งแบบนี้บางครั้งรถโล่งแต่ยังเป็นไฟเขียวอยู่ แต่ฝั่งที่เป็นไฟแดงรถติดยาว หรือหากเป็นตำรวจกดเองอาจไม่เห็นสภาพการจราจรทั้งหมด
ตอนนี้จึงมีการติดตั้งระบบ Adaptive Control โดยเป็นการใช้กล้องวัดปริมาณจราจร และใช้คอมพิวเตอร์คำนวณว่าจะปล่อยรถอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ขณะนี้ติดตั้งไปแล้ว 72 แยก ตามแนวถนนสุขุมวิท แนวถนนเพชรบุรี แนวถนนพระรามสี่ แนวถนนพหลโยธิน และบริเวณย่านสีลม โดยมีแผนจะติดตั้งเพิ่มอีก 200 แยก ในปีหน้า
ทั้งนี้ จากการนำร่องทดลองใช้ระบบ Adaptive Control พบว่าในช่วงที่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่ง ด่วนการจราจรดีขึ้นประมาณ 15% ส่วนในชั่วโมงเร่งด่วนอยู่ระหว่างเก็บข้อมูลกับทางตำรวจ อาจมีบางแยกที่รถติดหนักมากก็ต้องใช้ตำรวจมากดสัญญาณไฟ ซึ่งต้องดูความเหมาะสมประสานทั้ง 2 ระบบควบคู่กัน
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า การปรับสัญญาณไฟตามปริมาณรถ บางครั้งเราบอกล่วงหน้าไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่ารถจะหมดเมื่อไร อาจจะเห็นแค่ 5 วินาทีสุดท้าย แต่ไม่เห็นทั้งช่วง แต่สิ่งสำคัญคือระเบียบวินัยจราจร เทคโนโลยีอะไรฉลาดแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ถ้าคนไม่ปฏิบัติตามกฎ ไม่มีวินัยจราจร.-สำนักข่าวไทย
