นราธิวาส 7 พ.ค. – รมช.กลาโหม ลงพื้นที่ จ.นราธิวาส หลังสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ย้ำรัฐบาลห่วงใยประชาชนทุกกลุ่ม ขณะที่หน่วยงานความมั่นคงปรับรูปแบบการทำงานเข้มงวดมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นปลอดภัยให้กับประชาชน
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ จ.นราธิวาส เพื่อให้กำลังใจประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน หลังเกิดสถานการณ์ความรุนแรงต่อเนื่อง โดยได้เข้ากราบนมัสการ พระธรรมวัชรจริยาจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 18 เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา และพบปะพี่น้องชาวไทยพุทธ ที่วัดเขากง อ.เมืองนราธิวาส พร้อมรับฟังข้อแนะนำไปเสนอต่อรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการพูดคุยสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่พี่น้องไทยพุทธ มีข้อเสนอแนะให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนในพื้นที่
จากนั้นได้เดินทางไปพูดคุยกับนายซาฟีอี เจ๊ะเลาะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส และผู้นำศาสนา ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส โดยประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า ได้น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาเป็นแนวทางการดำเนินงาน ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และในฐานะผู้นำองค์กรศาสนา พร้อมให้การสนับสนุนการทำงานของภาครัฐในทุกระดับ เพื่อนำพาสันติสุขกลับคืนสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน

พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ตนจึงได้รับมอบหมายให้มาประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อมูลเพิ่มเติมโดยตรงจากทุกฝ่าย
ทั้งนี้ จากการรายงานของ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และผู้เกี่ยวข้อง รู้สึกคลายความกังวลที่หน่วยงานความมั่นคง รวมถึงหน่วยงานเกี่ยวข้อง ได้ปรับรูปแบบ วิธีการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เข้มงวดมากขึ้น บูรณาการและเป็นเอกภาพมากขึ้น เพื่อดูแลความเป็นอยู่และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน
ด้าน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อประชุมร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง ณ กองบังคับการ หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ค่ายกัลยาณิวัฒนา พร้อมกำชับงานด้านการข่าว ที่ต้องให้ความสำคัญในงานข่าวกรอง ทั้งระดับยุทธศาสตร์ ยุทธการ และยุทธวิธี เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผนงานอย่างรอบคอบ

ขณะเดียวกัน ยังได้กำหนดเป้าหมายการติดตามกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมาย. – สำนักข่าวไทย