กทม.ไขข้อข้องใจข้อบัญญัติควบคุมสัตว์ฉบับใหม่

กรุงเทพฯ 2 พ.ค. – กทม. ไขข้อข้องใจข้อบัญญัติควบคุมสัตว์ฉบับใหม่ จัดระเบียบการเลี้ยง ป้องกันสัตว์จร-โรคระบาด ทาสหมา-แมวต้องรู้ ก่อนมีผล 10 ม.ค. 69


รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวการเตรียมความพร้อมการใช้ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 โดยมีนายสัตวแพทย์ ศิษฏพล เอี่ยมวิสูตร์ สำนักงานสัตวแพทย์สาธารณสุข สำนักอนามัย นางสาวชัญญา ผาสุพงษ์ สมาคมสงเคราะห์สัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนายโรเจอร์ โลหนันทน์ เลขาธิการสมาคมพิทักษ์สัตว์ไทย ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร

“สำหรับท่านที่เลี้ยงน้องหมา น้องแมวอยู่แล้ว หลายคนอาจกังวลเมื่อเห็นข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 ที่กำหนดให้เลี้ยงตามบ้านหรือตามห้องชุดได้ 2 ตัว หรือ 3 ตัว และเลี้ยงได้มากที่สุด 6 ตัว ตามขนาดพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้วันที่ 10 ม.ค. 69 โดยหลักของกฎหมายไม่บังคับย้อนหลัง นั่นหมายความว่าถ้าเลี้ยงอยู่แล้วไม่มีผล ท่านเลี้ยงของท่านมา ท่านรักของท่าน เราไม่ทำอะไรเพียงแต่ขอให้ท่านมาจดทะเบียนแจ้งว่าท่านเลี้ยงอยู่ 6 แล้วก็เลี้ยงต่อไป รักเขาให้มากๆ รับผิดชอบเขาให้เยอะๆ อย่าให้มีเรื่องเดือดร้อนรําคาญกับเพื่อนบ้านหรือชุมชน ฉีดวัคซีนอย่างสม่ำเสมอ จดทะเบียนเขาให้เรียบร้อย ทำหมันเลยก็ดีจะได้ช่วยเรากำกับควบคุมจำนวนไปเลย เพราะพอหลังวันที่ 10 ม.ค. 69 จะได้ไม่มีน้องติดท้องไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล อย่าเอาเขาไปทิ้ง เลี้ยงเขามาเลี้ยงเขาต่อไปจนกว่าเขาจะจากท่านไปเอง” รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าว


ที่มาของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 สืบเนื่องมาจากนโยบายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ได้แก่ 1.ขึ้นทะเบียนตลอดช่วงชีวิต เพื่อเป็นการป้องกันการปล่อยทิ้งสัตว์ที่มีเจ้าของเป็นสัตว์จรจัด และ 2.จัดระเบียบสัตว์จร แก้ปัญหาผ่านการจัดการอย่างเป็นระบบ โดยการควบคุมการเพิ่มจำนวนสัตว์ ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และหาบ้านใหม่ให้สัตว์จร ลดการซื้อสัตว์ใหม่มาเลี้ยง

ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 360 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หรือวันที่ 10 มกราคม 2569 กำหนดให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมการเลี้ยงสัตว์หรือปล่อยสัตว์ ดังนี้ 1.สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 2.สัตว์ปีก 3.สัตว์น้ำ 4.สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 5.สัตว์เลื้อยคลาน 6.สัตว์มีพิษหรือสัตว์ดุร้าย

สาระสำคัญของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567
สถานที่เอกชนในกรุงเทพมหานครให้เลี้ยงสัตว์ ดังนี้
1.เลี้ยงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ เช่น โค กระบือ ม้า กวาง หรือสัตว์ที่มีขนาดเดียวกันได้ไม่เกิน 1 ตัวต่อสถานที่เลี้ยงสัตว์พื้นที่ 50 ตารางวา
2.เลี้ยงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น แพะ แกะ สุกร ม้าแคระ หรือสัตว์ที่มีขนาดเดียวกันได้ไม่เกิน 3 ตัวต่อสถานที่เลี้ยงสัตว์พื้นที่ 50 ตาราวางวา
3.เลี้ยงไก่ เป็ด ห่าน ได้ไม่เกิน 1 ตัว ต่อสถานที่เลี้ยงสัตว์พื้นที่ 4 ตารางเมตร
4.เลี้ยงนกขนาดใหญ่ เช่น นกกระจอกเทศ หรือนกที่มีขนาดเดียวกันได้ไม่เกิน 1 ตัวต่อสถานที่เลี้ยงสัตว์พื้นที่ 50 ตารางเมตร
5.เลี้ยงนกขนาดเล็กได้ไม่เกิน 5 ตัวต่อสถานที่เลี้ยงสัตว์พื้นที่ 1 ตารางเมตร


ทั้งนี้ การเลี้ยงสัตว์ตามข้อ 1-5 ดังกล่าว ซึ่งเกินกว่าจำนวนที่กำหนด เพื่อประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ให้เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครว่าด้วยกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ห้ามเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ในที่หรือทางสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานคร ยกเว้น
1.เพื่อการรักษาโรคเจ็บป่วยหรือสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของสัตว์
2.เพื่อกิจกรรมใดๆ ที่กรุงเทพมหานครประกาศกำหนดพื้นที่ส่วนหนึ่งส่วนใดให้เลี้ยงสัตว์โดยมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนเป็นการเฉพาะ
3.เพื่อการย้ายถิ่นที่อยู่ของเจ้าของสัตว์
4.การเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ของทางราชการและการปล่อยสัตว์เพื่อการกุศลหรือจารีตประเพณี

เจ้าของสัตว์ต้องเลี้ยงสัตว์ตามปกติวิสัยและต้องปฏิบัติ ดังนี้
1.จัดให้มีสถานที่เลี้ยงสัตว์ที่มั่นคงแข็งแรงและเหมาะสมแก่ประเภทและชนิดของสัตว์ โดยมีขนาดเพียงพอแก่การดำรงชีวิตของสัตว์ มีอาหาร น้ำ แสงสว่าง และการระบายอากาศที่เพียงพอ มีระบบระบายน้ำและกำจัดสิ่งปฏิกูลให้ถูกสุขลักษณะ

2.รักษาสถานที่เลี้ยงสัตว์ให้สะอาดอยู่เสมอ จัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้ถูกสุขลักษณะเป็นประจำ ไม่ปล่อยให้เป็นที่สะสมหมักหมมจนเกิดกลิ่นเหม็นรบกวนผู้อื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

3.จัดให้มีการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในสัตว์ เพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสัตว์ กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าสัตว์ที่เลี้ยงเป็นโรคอันอาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพของประชาชน ให้เจ้าของสัตว์แยกกักสัตว์นั้นไว้ต่างหาก และแจ้งให้หน่วยงานที่จดทะเบียน หรือสำนักงานสัตวแพทย์สาธารณสุข สำนักอนามัยทราบ และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์

4.เลี้ยงสัตว์ภายในสถานที่เลี้ยงสัตว์ของตน ไม่ปล่อยให้สัตว์อยู่นอกสถานที่เลี้ยงสัตว์ โดยปราศจาศจากการควบคุม กรณีเป็นสัตว์ดุร้ายจะต้องเลี้ยงในสถานที่หรือกรงที่บุคคลภายนอกเข้าไม่ถึงตัวสัตว์และมีป้ายเตือนให้ระมัดระวังโดยสังเกตได้อย่างชัดเจน

5.จัดให้สัตว์สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติตามสมควร
6.ควบคุมดูแลสัตว์ของตนมิให้ก่ออันตรายหรือเหตุรำคาญแก่ผู้อื่น
7.เมื่อสัตว์ตายลง เจ้าของสัตว์จะต้องกำจัดซากสัตว์และมูลสัตว์ให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อป้องกันมีให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงหรือสัตวนำโรค ทั้งนี้ โดยวิธีที่ไม่ก่อเหตุรำคาญจากกลิ่น ควัน และไม่เป็นเหตุให้เกิดการปนเปื้อนของแหล่งน้ำ

8.ปฏิบัติการอื่นใดตามคำแนะนำของเจ้าพนักงานสาธารณสุข พนักงานเจ้าหน้าที่ คำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นรวมทั้งข้อบังคับ ระเบียบ และคำสั่งของกรุงเทพมหานคร

สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นเขตห้ามเลี้ยงสุนัขและแมวเกินจำนวนที่กำหนด ดังนี้
1.พื้นที่อาคารชุดหรือห้องเช่าตั้งแต่ 20 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 80 ตารางเมตร เลี้ยงได้ไม่เกิน 1 ตัว
2.พื้นที่อาคารชุดหรือห้องเช่าตั้งแต่ 80 ตารางเมตรขึ้นไป เลี้ยงรวมกันได้ไม่เกิน 2 ตัว
3.เนื้อที่ดินไม่เกิน 20 ตารางวา เลี้ยงรวมกันได้ไม่เกิน 2 ตัว
4.เนื้อที่ดินตั้งแต่ 20 ตารางวา แต่ไม่เกิน 50 ตารางวา เลี้ยงรวมกันได้ไม่เกิน 3 ตัว
5.เนื้อที่ดินตั้งแต่ 50 ตารางวา แต่ไม่เกิน 100 ตารางวา เลี้ยงรวมกันได้ไม่เกิน 4 ตัว
6.เนื้อที่ดินตั้งแต่ 100 ตารางวา เลี้ยงรวมกันได้ไม่เกิน 6 ตัว

เจ้าของสัตว์ที่เลี้ยงสัตว์เกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครนี้ ก่อนวันที่ข้อบัญญัติ กรุงเทพมหานครนี้ใช้บังคับ หรือก่อนวันที่ 10 มกราคม 2569 ให้แจ้งต่อสำนักงานเขต ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครนี้ใช้บังคับ หรือภายในวันที่ 9 เมษายน 2569 กรณีเลี้ยงสุนัขและแมวเกินกว่าจำนวนที่กำหนด เพื่อประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (ฟาร์มสัตว์ ร้านจำหน่ายสัตว์เลี้ยง คาเฟ่สัตว์เลี้ยง ร้านอาบน้ำตัดขนสัตว์ โรงแรมสัตว์) ให้เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครว่าด้วยกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

เจ้าของสุนัขและแมวต้องนำสัตว์ไปจดทะเบียน ออกบัตรประจำตัว และฝังไม่โครชิป ภายใน 120 วัน นับแต่วันที่สัตว์เกิด หรือภายใน 30 วัน นับแต่ในที่นำสัตว์มาเลี้ยงในเขตกรุงเทพมหานคร โดยดำเนินการด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปทำการแทน โดยยื่นคำขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ หน่วยงานที่รับจดทะเบียน สำนักงานสัตวแพทย์สาธารณสุข สำนักอนามัย สำนักงานเขต พร้อมแสดงบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของสัตว์ ทะเบียนบ้านที่สัตว์อาศัยอยู่ และแบบหลักฐาน ใบรับรอง หนังสือยินยอมจากผู้ให้เช่า ในกรณีเป็นผู้เช่า หนังสือรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (ถ้ามี) หนังสือรับรองการผ่าตัดทำหมันจากสัตวแพทย์ (ถ้ามี) หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)

การนำสุนัขหรือแมวออกนอกสถานที่เลี้ยงต้องปฏิบัติ ดังนี้
1.แสดงบัตรประจำตัวสุนัขหรือแมว เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงานสาธารณสุข หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ

2.ใช้สายจูงที่แข็งแรงและจับสายจูงตลอดเวลา หรือใช้ กระเป๋า คอก กรง หรืออุปกรณ์อื่นที่เหมาะสม เพื่อป้องกันมิให้เป็นอันตรายต่อคนหรือสัตว์อื่น กรณีเป็นสุนัขควบคุมพิเศษ เช่น พิทบูลเทอร์เรีย บูลเทอร์เรีย สเตฟฟอร์ดเซอร์บูลเทอร์เรีย รอทไวเลอร์ ฟิล่าบราซิลเลียโร ต้องใช้อุปกรณ์ครอบปาก ใช้สายจูงที่มั่นคงแข็งแรงและจับสายจูงห่างจากคอสุนัขไม่เกิน 50 เซนติเมตรตลอดเวลา

3.ห้ามบุคคลอายุต่ำกว่า 15 หรือเกินกว่า 65 ปี นำสุนัขควบคุมพิเศษออกนอกสถานที่เลี้ยง
ผู้ใดฝ่าฝืนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครนี้ มีโทษตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฝ่าฝืนตามมาตรา 29 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 25,000 บาท)

ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 ดังนี้
1.ประโยชน์ของการฝังไมโครชิปและจดทะเบียนสุนัขแมว ได้แก่ ไมโครชิปมีอายุการใช้งานตลอดช่วงชีวิตสัตว์ และไม่สูญหายเหมือนอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ป้ายห้อยคอ กรณีพบสัตว์ที่ฝังไมโครชิปในที่สาธารณะ กทม.สามารถประสานงานติดต่อกับเจ้าของสัตว์ได้ สามารถระบุเจ้าของสัตว์ได้เมื่อเกิดข้อพิพาท เช่น สลับตัวสัตว์
2.ป้องกันการปล่อยทิ้งสัตว์ที่มีเจ้าของเป็นสัตว์จรจัด โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการควบคุมประชากรสัตว์จรจัด ผ่านโครการควบคุมแมวจรจัดในชุมชน และโครงการจ้างเหมาผ่าตัดทำหมันควบคุมจำนวนและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

ในส่วนการดำเนินการของกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.การเตรียมความพร้อมการใช้ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 โดยประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สัตวแพทยสภา สมาคมสัตว์แพทย์ สมาคมผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ ชมรมสถานพยาบาลสัตว์และหน่วยงานอื่นๆ รณรงค์การจดทะเบียน การฝังไมโครชิปสุนัขและแมว การออกหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่เชิงรุก 6 กลุ่มเขต ร่วมกับเครือข่ายเอกชน ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่ผู้เลี้ยงสัตว์ในเขตกรุงเทพมหานคร

2.การควบคุมประชากรสัตว์ การฉีดวัดซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและจดทะเบียนสัตว์
โดยคลินิกสัตวแพทย์ กรุงเทพมหานคร 8 แห่ง ได้แก่
1.กลุ่มควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า ถ.มิตรไมตรี เขตดินแดง โทร.02248 7417
2.คลินิกสัตวแพทย์ กทม.1 สี่พระยา เขตบางรัก โทร. 02236 4055 ต่อ 213
3.คลินิกสัตวแพทย์ กทม.2 มีนบุรี เขตมีนบุรี โทร. 02914 5822
4.คลินิกสัตวแพทย์ กทม.3 วัดธาตุทอง เขตวัฒนา โทร. 02392 9278
5.คลินิกสัตวแพทย์ กทม.4 บางเขน เขดจตุจักร โทร. 02579 1342
6.คลินิกสัตวแพทย์ กทม.5 วัดหงส์รัตนาราม เขตบางกอกใหญ่ โทร.02472 5895 ต่อ 109
7.คลินิกสัตวแพทย์ กทม.6 ช่วง นุชเนตร เขตจอมทอง โทร. 02476 6493 ต่อ 1104
8.คลินิกสัตวแพทย์ กทม.7 บางกอกน้อย เขตบางกอกน้อย โทร. 02411 2432

ศูนย์ควบคุมและพักพิงสุนัขกรุงเทพมหานคร
1.ศูนย์ควบคุมสุนัขกรุงเทพมหานคร เขตประเวศ เป็นสถานที่รับสุนัขและแมวจากเรื่องร้องเรียนจาก 4 กรณี ได้แก่

1.1 กรณีสงสัยหรือสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า 1.2.กรณีกัดทำร้ายคนที่มีหลักฐานชัดเจน 1.3.กรณีดุร้ายหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะสร้างความไม่ปลอดภัยที่มีการตรวจสอบแล้วว่าเป็นจริง 1.4.กรณีเจ้าของสิ้นสภาพการเลี้ยงและไม่มีทายาทรับเลี้ยง รองรับการนำสุนัขจรจัดมาผ่าตัดทำหมัน ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ทำสัญลักษณ์ก่อนปล่อยกลับคืนพื้นที่เดิมเพื่ออยู่ร่วมกับกับชุมชน คัดเลือกสุนัขและแมวที่มีสุขภาพและพฤติกรรมเหมาะสม เพื่อประชาสัมพันธ์หาผู้อุปการะโดยประสานความร่วมมือกับเครือข่ายมูลนิธิ องค์กร และสมาคมต่างๆ (Facebook : BKK Adopter)

2.ศูนย์พักพิงสุนัขกรุงเทพมหานคร จ.อุทัยธานี รับสุนัขจากศูนย์ควบคุมสุนัขกรุงเทพมหานคร เขตประเวศ เพื่อเลี้ยงดูแลจนหมดอายุขัย.-417-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“แพทองธาร” ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก บอกสื่อ “คิดถึงนะคะ”

สนามหลวง 12 ส.ค.- “แพทองธาร” ยิ้ม ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก ก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน บอกสื่อฯ “คิดถึงนะคะ” ภายหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคู่สมรส ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 ส.ค.2568 ณ ท้องสนามหลวง ทันทีที่พบผู้สื่อข่าว นางสาวแพทองธาร หันมาพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “คิดถึงนะ” ผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถามเรื่องกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่ง ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสิน คดีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งนางสาวแพทองธาร ยิ้มและไม่ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ หรือสุดท้ายจะอยู่ รวมถึงขอให้ยืนยันว่าจะลาออกหรือไม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ไม่ได้ตอบคำถาม และเดินทางขึ้นรถทันที.-315 -สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” นำทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

สนามหลวง 12 ส.ค.- “ภูมิธรรม” เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา “พระพันปีหลวง” 12 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 โดยมีประธานองคมนตรีและภริยา คณะองคมนตรีและภริยา ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยราชการในพระองค์ คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพและภริยา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและภริยา ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และผู้แทนภาคเอกชน ร่วมพิธี โดยเมื่อนายภูมิธรรม เดินทางถึงปะรำพิธีท้องสนามหลวง สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จำนวน 10 รูป ขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ นายภูมิธรรม จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ถวายคำนับและถวายธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จำนวน […]

เตือนทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง ‘ตะวันออก’ หนักสุด

กทม. 12 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง เตือนภาคตะวันออกรับมือฝนถล่ม อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “โพดุล” (PODUL) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไต้หวัน และเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกของประเทศจีนในช่วงวันที่ 13 – 14 ส.ค. โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย

เสียงสะท้อนจากวีรบุรุษแนวหน้าถึงแนวหลัง

11 ส.ค. – แม้สถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชาเหมือนจะดีขึ้น แต่ยังวางใจไม่ได้ เช่นข่าวทหารไทยเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บอีก 3 นาย วันนี้จะพาไปดูความพร้อมของหน่วยแพทย์ในการดูแลทหารของชาติในฐานะวีรบุรุษ พร้อมข้อคิดจากจ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญชูกล้า หรือจ่าเต้ 1 ในวีรบุรุษ ฝากถึงแนวหลัง.-สำนักข่าวไทย