กรุงเทพฯ 6 พ.ค.-“มนพร” สั่งลุยพัฒนา “ท่าเรือกรุงเทพ” นำร่อง 520 ไร่ พร้อมจ่อจัดจ้างที่ปรึกษาเข้าศึกษาอย่างละเอียด หวังให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย คาดได้ข้อสรุป พ.ค.69
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (6 พ.ค.) ได้จัดประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยภายในที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางต่างๆ เพื่อที่จะพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ ขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยไม่ให้มีผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ และการจราจรต้องไม่ติดขัด รวมถึงไม่สร้างมลภาวะทางด้านอากาศและสุขภาพจิตต่อประชาชนทั่วทุกบริเวณ
ทั้งนี้ทั้ง 4 คณะอนุกรรมการที่จัดตั้งขึ้นมาประกอบด้วย 1. คณะอนุกรรมการพิจรณาแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อน ไปสู่การปฏิบัติ โดยมี นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานอนุกรรมการและ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม รองประธานอนุกรรมการ 2.คณะอนุกรรมการ พิจารณาพัฒนาศักยภาพ พื้นที่บริเวณชุมชนคลองเตยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ปัจจุบัน โดยมีนายสรพงษ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านขนส่ง รองประธานอนุกรรมการ 3. คณะอนุกรรมการการจัดระเบียบด้านจราจรและสิ่งแวดล้อมบริเวณโดยรอบท่าเรือกรุงเทพ(คลองเตย) อย่างยั่งยืน โดยมี นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนหารขนส่งและจราจร ประธานอนุกรรมการ และ 4. คณะอนุกรรมการด้านการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) และการประชาสัมพันธ์ โดยมี นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม เป็นประธานอนุกรรมการ
นางมนพร กล่าวต่อว่า สำหรับการประชุมในวันนี้ มีมติให้เริ่มพิจารณาแนวทาง การพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ โดยนำร่องแผนพัฒนา 520 ไร่ ที่อยู่บริเวณหน้าท่าเรือ จากเดิมนั้นพื้นที่ดังกล่าว ใช้งานได้ไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เบื้องต้นจะนำมาพัฒนาพื้นที่ในการจัดเรียงตู้ตู้คอนเทนเนอร์ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และพัฒนาเป็นสมาร์ทพอร์ต รวมถึงเพิ่มโครงการมิกซ์ยูสต่างๆ ให้มีประโยชน์มากสุดต่อประเทศและประชาชนในภาพรวมอย่างแน่นอน
นางมนพร กล่าวต่อถึงการประชุมวันนี้โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีมติอีกว่า การพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ ในพื้นที่ 520 ไร่นั้น ต้องมีการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการศึกษาพื้นที่โดยละเอียด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และต้องไม่มีผลกระทบต่อชุมชน โดยกระบวนการศึกษารายละเอียดต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณานั้น คาดได้ข้อสรุปช่วงเดือน พ.ค.69 ส่วนภายหลังจากนั้นจะเริ่มแนวทางการพัฒนาต่อไป แต่ในส่วนพื้นที่ที่เหลืออีกประมาณ 1,833 ไร่ จาก 2,353 ไร่นั้น ยังคงอยู่ในแผนการพัฒนาเช่นกัน แต่จะเริ่มไปทีละระยะ หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ประชาชนได้ทราบโดยทันที.-513-สำนักข่าวไทย