“บิ๊กโจ๊ก” แถลงปิด 2 คดีทุนจีนสีเทา “หยู ซินฉี-แก๊ง 14K”

กรุงเทพฯ 29 มี.ค.- “บิ๊กโจ๊ก” แถลงปิด 2 คดีทุนจีนสีเทา “หยู ซินฉี-แก๊ง 14K” ตั้งสมาคมเถื่อนในไทย หลอกตุ๋นคนจีนด้วยกันเอง ย้ำทั้ง 2 คดี ไร้ผู้เสียหาย​ เพราะจีนเทากับจีนเทาเจอกัน จึงกลายเป็นคดีจีนเทาหลอกจีนเทา


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมตำรวจชุดคลี่คลายคดีทุนจีนสีเทา แถลงปิดคดีใหญ่ 2 คดี ซึ่งประกอบด้วยคนจีนแอบอ้างเบื้องสูงหลอกลวงคนจีนด้วยกันเอง กับคดีแก๊ง 14K ตั้งสมาคมเถื่อน

คดีแรก เป็นการจับกุมหยู ซินฉี เป็นผู้ก่อตั้งมณฑลส่านซี สมาคมแห่งประเทศไทย ซึ่งสมาคมดังกล่าวจะเป็นการชักจูง แนะนำคนจีน เข้ามาร่วมลงทุนในกิจการภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย อาทิ ธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และจิวเวลรี่ เครื่องประดับ แลกเปลี่ยนเงินตรา โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีฐานะทางการเงิน และต้องการออกไปประกอบธุรกิจต่างประเทศ


วิธีการชักจูง จะออกจดหมายเชิญเข้าร่วมการสัมมนา การประชุม เข้าชมนิทรรศการต่างๆ และออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กลุ่มทุน เพื่อเป็นการสร้างความประทับใจ สำหรับพฤติการณ์ที่สร้างความไว้วางใจให้กลุ่มคนจีน คือ การเข้าร่วมกิจกรรมงานสำคัญระดับชาติของไทย และถ่ายรูปร่วมกับบุคคลสำคัญของไทย อาทิ นายกรัฐมนตรี รอง ผบ.ตร. และบุคคลสำคัญอื่นๆ รวมทั้งราชวงศ์ ก่อนนำรูปดังกล่าวไปใช้แอบอ้างเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ที่สำคัญ นายหยู ซินฉี ยังจัดทำนามบัตรและระบุว่าเป็นสมาชิกราชวงศ์กิตติมศักดิ์ และนำนามบัตร แจกจ่ายให้นักลงทุนชาวจีน

ตำรวจชุดเฉพาะกิจ ซึ่งมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นหัวหน้าชุด ร่วมกับกรมการปกครอง เข้าตรวจค้นสมาคมดังกล่าวในหมู่บ้านหรูแห่งหนึ่งย่านสายไหม จากการตรวจสอบพบว่า สมาคมดังกล่าวไม่ได้มีการจดทะเบียนการจัดตั้งสมาคมตามกฎหมายไทย เป็นการกอตั้งลักษณะฉ้อโกง หาผลประโยชน์ให้ตัวเองโดยทุจริต จึงแจ้งข้อกล่าวหาจัดตั้งสมาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นำข้อความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และเตรียมแจ้งข้อหา ตามมาตรา 112 สัปดาห์​หน้า​ นอกจากนี้ ยังเตรียมแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทตามที่นายชูวิทย์​ กมลวิศิษฎ์ เข้าแจ้งความ​ด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับนายหยู ซินฉี เป็นบุคคลที่ถูกนายชูวิทย์ เปิดโปงพฤติกรรม แอบอ้างบุคคลสำคัญ หลอกเพื่อนร่วมชาติลงทุนในไทย ก่อนนำหลักฐานส่งมอบให้ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ดำเนินการ ต่อมาคดีนี้มีการถูกโอนให้ชุดเฉพาะกิจของรอง ผบ.ตร.เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งจากการสืบสวนของชุดเฮพาะกิจพบว่า คดีนี้มีตำรวจ ตม.ร่วมกระทำความผิด ตั้งแต่การช่วยเหลือนายหยู ซินฉี ตั้งแต่การเปิดทางให้เข้าไทยได้อย่างสะดวก และมีการต่อวีซ่า โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องดำเนินการ และมีการปรับเปลี่ยนวีซ่า


ขณะนี้ นายหยู ซินฉี ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ต้องรับโทษที่ไทย ก่อนจะเตรียมผลักดันกลับประเทศไปดำเนินคดีที่นต่อไป

ทั้งนี้ รอง ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า หลังจากหารือกับสถานเอกอัคราชทูตจีน ทางการจีนเห็นด้วยกับข้อหากับที่ตำรวจไทยแจ้งข้อหา พร้อมยื่นคำร้องขอนำตัวผู้ต้องหารายนี้กลับไปดำเนินคดีและลงโทษตามกฎหมายจีน

ส่วนคดีที่ 2 เป็นการปิดคดีทลายสมาคมเถื่อนแก๊ง 14K หลอกลวงทรัพย์สิน และหาผลประโยชน์จากคนไทยและคนจีน โดยคดีนี้ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ชุดเฉพาะกิจสืบสวนพบว่ามีกลุ่มคนจีนจัดตั้งสมาคมเถื่อน ภายใต้ชื่อสมาคมหงเหมิน โดยสมาคมแรก คือ สมาคมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโลกหงเหมิน ซึ่งมีนายป๋าย จ้าวฮุย เป็นประธานสมาคม ซึ่งสมาคมดังกล่าวตั้งอยู่ย่านวังทองหลาง ส่วนสมาคมที่ 2 สมาคมพันธมิตรหงเหมิน ลก มีนายวุฒิ แซ่เหลียง เป็นประธานสมาคมประจำสาขาไทย ในพื้นที่บางขุนเทียน

จากการตรวจสอบของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่าทั้งสองสมาคม ไม่ได้มีการจัดตั้งสมาคมอย่างถูกต้อง และการตรวจค้นเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบพยานหลักฐานจำนวนมาก จึงออกหมายจับนายป๋าย จ้าวฮุย เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย แต่นายป๋าย จ้าวฮุย รู่ตัวล่วงหน้า เดินทางหลบหนีออกนอกประเทศไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างประสานงานระหว่างทางการไทยและจีน เพื่อตรวจสอบว่าหลบหนีไปอยู่ที่ใด สำหรับนายป๋าย จ้าวฮุย เป็นบุคคลหนึ่งที่ทางการจีนต้องการตัวกลับไปดำเนินคดี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทั้งคดีมณฑลส่านซี สมาคมแห่งประเทศไทยของนายหยู ซิน ฉี และสมาคมหงเหมิน ของป๋าย จ้าวฮุย ทั้ง 2 คดี ไม่มีเจ้าทุกข์มาแจ้งความดำเนินคดีแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นคดีจีนเทาหลอกจีนเทา และจีนดำหลอกจีนดำ จึงทำให้คดีนี้ไม่มีผู้เสียหาย

ส่วนสาเหตุที่กลุ่มคนจีนเทาเข้ามาใช้พื้นที่ประเทศไทย ในการเป็นที่ตั้งซ่องสุมเพื่อก่อเหตุหลอกลวงเพื่อนชาวจีน เพราะประเทศไทยสามารถเข้าออกได้ง่าย และระบบสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยังคงมีปัญหา มีการทุจริตช่วยเหลือ จึงทำให้เป็นจุดอ่อน ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถเข้ามาใช้พื้นที่ในประเทศไทยได้ ยอมรับว่าต่อจากนี้ต้องมีการปรับปรุงระบบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้เข้มแข็งมากขึ้น เพราะหากมีการเข้มงวดในการตรวจคนเข้าเมืองและมีการปราบปรามอย่างจริงจัง จะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช้ประเทศไทยในการก่อเหตุกับเพื่อนร่วมชาติอีกต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย