อินเด็กซ์ปรับกลยุทธ์ปรับตัวตลอดปีรับวิถีชีวิตใหม่

กรุงเทพฯ 2 ธ.ค.อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ปรับกลยุทธ์ปี 2564 ปรับตัวตลอดเวลา รับมือความเปลี่ยนแปลง นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม  บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจอีเวนต์มีความอ่อนไหวมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ ลูกค้าจะตัดงบก่อน ซึ่งปีนี้ผู้ประกอบการไม่ได้ทำอีเวนต์ งานทั้งหมดถูกเลื่อน และยกเลิกเกือบ 100% ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายน โดยในเดือนกรกฎาคมเราเริ่มพลิกวงการบันเทิงด้วยการจัด Hybrid Concert ครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งปกติในช่วงไตรมาส 4 จะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจอีเวนต์ จากเดิมที่สถานการณ์เลวร้ายอยู่แล้ว และมีความเสี่ยงในการเกิดโควิดระลอก 2 ตบท้ายด้วยการชุมนุมประท้วง ถือเป็นตัวเร่งให้ตลาดเลวร้ายขึ้นอีก เพราะมีผล  ในเชิงจิตวิทยาและด้านการตลาด รวมถึงการจัดงานบันเทิง งานแฟร์ทั้งระบบมีมูลค่าร่วม 3 แสนล้านบาท  มีคนทำงานในซัพพลายเชนมากมายมหาศาล ส่วนอีเวนท์มาร์เก็ตติ้ง มีมูลค่าราว 1.4 หมื่นล้านบาท   ปีนี้คาดสูญเม็ดเงินร้อยละ 60 และหากการชุมนุมยืดเยื้อ คาดว่าจะกระทบการจ้างงานหลักแสนจากปัจจุบันมีคนตกงานนับล้านคน  นายเกรียงไกร  กล่าวอีกว่า ช่วงโควิดบริษัทปั้นธุรกิจใหม่มากมาย ทั้ง Kill & Klean แฟรนไชส์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อ ซึ่งมีจำนวนแฟรนไชส์ทั้งหมด 25 แฟรนไชส์ ขยายไปยัง 6 ประเทศ 28 เมือง, การประมูลสินค้าออนไลน์ “คืนปล่อยของ”,เวทีคอนเสิร์ตคืนรอยยิ้ม โดยใช้โมเดล “Friendship Economy”, ANYA MEDITEC ที่ปรับโฉมโรงแรมเป็นโรงพยาบาล ซึ่งตอนนี้เรามี Partner ทั้งหมด 5 โรงแรม ได้แก่ Peninsula Hotel Bangkok, Staybridge Suites Bangkok Thonglor, Chatrium Hotel Riverside Bangkok Royal Cliff Beach Pattaya และศิริปันนาวิลล่า รีสอร์ท เชียงใหม่ ล่าสุดเปิดตัว “House of Illumination” ศิลปะดิจิทัลทีใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ เซ็นทรัลแกลอรี ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ จัดระหว่างวันที่ 28 ต.ค. 2563 –   28 ต.ค. 2565 แผนของอินเด็กซ์ฯ จากนี้ในปี 2564 จะรุกธุรกิจในส่วนของน็อนอีเวนต์ (NON-EVENT)  มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในรูปแบบของOwn Project โดยไฮไลท์ปีหน้า จะเน้นจับตลาดท่องเที่ยว การสร้างแลนด์มาร์คใหม่ๆ ในเมืองรอง อีกส่วนมุ่งเจาะธุรกิจด้าน“Healthcare” เพื่อตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง       อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือให้ธุรกิจอื่นๆ “ฟื้นตัว” และเติบโตไปด้วยกัน เตรียมส่งโปรเจกต์ สร้างสรรค์ Illumination  ที่สร้างความสดและใหม่ให้กับวงการทันที ด้วยพื้นฐานหลักของความคิดสร้างสรรค์ เพื่อต่อยอดงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดทั้งปี เริ่มจากงานแสดงไลท์เฟสติวัล Village of Illumination ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย  วันที่ 1 ม.ค. 2564 -14 ก.พ. 2564,  งานแสดงประติมากรรมไฟสุดยิ่งใหญ่ ครั้งแรกในภาคอีสาน วันที่ 7- 21 ก.พ. 2564 จังหวัดอุดรธานี โดยผลการดำเนินงานในปี 2563 ได้รับผลกระทบหนักจากพิษโควิด-19 มาตรการล็อกดาวน์ และการประกาศเคอร์ฟิว ส่งให้ผลประกอบการของบริษัทในปี 2563 อยู่ที่ 460 ล้านบาท  ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 69 ซึ่งมาจากสัดส่วน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ1.กลุ่มครีเอทีฟบิซซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ (Creative Business Development ลดลงร้อยละ  37 2. กลุ่มมาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิส(Marketing Service) ลดลงร้อยละ78.4 และ 3. กลุ่มโอน-โปรเจค  (Own-Project) ลดลง ร้อยละ45 เมื่อเทียบกับปีที่ก่อน -สำนักข่าวไทย.

CATจับมือไทยคมเปิดNSATบริการดาวเทียมสื่อสารกลางทะเล

กรุงเทพฯ 2 ธ.ค. แคท จับมือไทยคม ตั้ง เอ็นแซท ให้บริการดิจิทัลผ่านดาวเทียมเพื่อการสื่อสารทางทะเลยกระดับอุตสาหกรรมการเดินเรือก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท เนชั่น สเปซ แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด (NSAT) กล่าวว่า NAVA by NSAT เป็นบริการแรกของ NSAT ภายใต้ความร่วมมือของ CAT และไทยคม ที่ได้รวมจุดแข็งของบริษัทแม่ทั้งสองมาผนึกรวมกัน โดย CAT มีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาดิจิทัลโซลูชัน ในขณะที่ไทยคม มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมด้านดาวเทียม จึงนำมาต่อยอดและพัฒนาขึ้นเป็นบริการ NAVA by NSAT ในรูปแบบ Maritime Digital Solutions ที่เน้นการตอบโจทย์ตามลักษณะและความต้องการของผู้ใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการเดินเรือ ด้วยการนำเสนอโมเดลธุรกิจที่หลากหลายในราคาที่สมเหตุสมผล รวมถึงให้ความสำคัญในด้านความปลอดภัยของข้อมูลโดยมีทีมงานที่พร้อมดูแลและให้การสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน โดยบริษัทมีความมุ่งมั่นว่า NAVA by NSAT จะเป็นบริการเรือธง ที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการเดินเรือสู่การเป็น Smart Ship และสร้างประสบการณ์อันดีเยี่ยมด้านการสื่อสารทางทะเลให้แก่ผู้ใช้งานทางทะเลได้อย่างครบวงจร พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT กล่าวว่ากลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ CAT มุ่งเน้นการพัฒนาด้านดิจิทัลโซลูชัน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีโดย CAT มีความเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมภาคพื้นดิน รวมถึงมีผลิตภัณฑ์และบริการด้านการสื่อสารที่หลากหลาย ซึ่งเมื่อนำมาพัฒนาต่อยอดด้านเทคโนโลยีร่วมกับพันธมิตร จะช่วยเสริมศักยภาพการบริการให้แก่ผลิตภัณฑ์ และเป็นการขยายบริการเครือข่ายโทรคมนาคมของ CAT สู่ภาคพื้นน้ำ อย่างเช่น NAVA by NSAT ที่เป็นการต่อยอดและพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกันจนเกิดเป็น Maritime Digital Solutions  ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานมีทางเลือกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น ทั้งบริการเสริมด้าน Voice  การเชื่อมต่อบริการคลาวด์-ดาต้าเซ็นเตอร์  และบริการระบบCCTV ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบวงจร สร้างมูลค่าเพิ่ม และส่งเสริมให้ผู้ใช้งานก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ นายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยคม กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของไทยคม คือ การเป็นผู้ให้บริการด้านสมาร์ทโซลูชัน และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทั้งทางอวกาศ อากาศ ทางบก และทางน้ำ(Space-Air-Ground-Maritime Smart Solutions) โดยมุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชัน เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเดิมและขยายไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ เช่นเดียวกับบริการ NAVA by NSAT ที่ได้ผนวกเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านดาวเทียมของไทยคมเข้ากับดิจิทัลโซลูชันที่หลากหลายของ CAT ทำให้บริการ NAVA by NSAT ถูกยกระดับขึ้นเป็นMaritime Digital Solutions ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพของงานบริการนอกชายฝั่งทะเลได้อย่างดีที่สุด และไทยคมมุ่งหวังให้ความร่วมมือในการพัฒนาโซลูชันของทั้ง 2 องค์กรในครั้งนี้ เป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จในการขยายเครือข่ายด้านการสื่อสารโทรคมนาคมให้ครอบคลุมทั้งภาคพื้นดิน และพื้นน้ำ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพด้านโทรคมนาคมของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคต่อไปในอนาคต NAVA by NSAT คือ บริการดิจิทัลผ่านดาวเทียมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับใช้สื่อสารทางทะเล ช่วยลบข้อจำกัด   ลดช่องว่างและอุปสรรคในการติดต่อสื่อสาร เสริมประสิทธิภาพให้แก่การปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมการเดินเรือ มุ่งสร้าง Connectivity ที่ไร้รอยต่อ เพื่อเชื่อมโยงทุกคนให้สื่อสารกันได้ทุกที่ ทุกเวลา   บริษัท เนชั่น สเปซ แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด (NSAT) บริษัทร่วมทุนภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท กสท โทรคมนาคมจำกัด (มหาชน) หรือ CAT และ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เปิดตัวบริการ NAVA by NSAT บริการดิจิทัลผ่านดาวเทียมเพื่อการสื่อสารทางทะเลแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการเดินเรือและอุตสาหกรรมนอกชายฝั่ง (Offshore) ในพื้นที่น่านน้ำประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน รองรับการรับ-ส่ง Data และสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารเพื่อการบริหารจัดการเรือ-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสเผยผลงานต้านข่าวปลอม 1 ปีจับได้ 61ราย

กรุงเทพฯ 2 ธ.ค. ดีอีเอส เผยตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 1 ปีดำเนินคดีผู้กระทำผิดแล้ว 61 ราย นายภุชพงค์  โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในการตรวจสอบและเผยแพร่ข่าวที่ถูกต้องแก่ประชาชน และได้ร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT) (ศปอส.ตร.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดระยะเวลา 1 ปีนับตั้งแต่จัดตั้งศูนย์ฯ มีการส่งเรื่องเกี่ยวกับข่าวปลอมและบิดเบือน เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของ ศปอส.ตร. ทั้งสิ้น 660 เรื่อง และมีการดำเนินคดี 26 เรื่อง รวมผู้กระทำความผิด 61 ราย แบ่งเป็น การดําเนินคดีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ 14 เรื่อง จำนวน 21 ราย และการดําเนินคดีตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 12 เรื่อง จำนวน 40 ราย และมีจำนวนเคสที่ทำการประชาสัมพันธ์ 96 ราย รวมเคสที่ดำเนินการแล้ว 157 ราย โดยมีจำนวนเป้าหมายที่เข้าทำการตรวจค้นตามหมายศาล 53 หมาย โดย 11 เดือนที่ผ่านมา (1 ม.ค.-30 พ.ย. 63) มีการจับกุมผู้โพสต์ข่าวปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ไปแล้ว 20 ครั้ง จำนวน 104 ราย รวมทั้งเห็นแนวโน้มการกระทำผิดในคดีประเภทนี้เริ่มลดลง ซึ่งเป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง นายภุชพงค์ กล่าวว่า สำหรับการจัดสัมมนาสร้างการรับรู้ฯ ที่ผ่านมา 3 ครั้ง ได้รับข้อเสนอแนะที่น่าสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วม ได้แก่ ควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับทางการแพทย์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ควรประสานงานอย่างจริงจังกับสื่อรายใหญ่ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ในการกระจายข่าวสารสร้างการรับรู้ในสังคมได้  ควรมีวิธีการสอนให้ผู้ปกครองทราบวิธีปิดกั้น โฆษณาในเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับเว็บโป๊ เว็บพนัน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึง ในส่วนของเครือข่ายผู้ประสานงาน ได้นำเสนอความต้องการเพื่อปรับปรุงระบบประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานด้านข่าวปลอมโดยเฉพาะการพัฒนาฟังก์ชั่นที่สนับสนุนกระบวนการทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือ เช่น  สามารถ Login เข้าใช้งานระบบและตอบแบบฟอร์มใช้งานผ่านทางโทรศัพท์เพื่อความสะดวก และแนะนำให้ควรมีการอัพเดตสถานะของเคส หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบกับหน่วยงานเจ้าของเรื่องนั้นๆ และเผยแพร่แล้ว เป็นต้น “ปัจจุบันสื่อออนไลน์มีบทบาทต่อผู้บริโภคข่าวสารอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคมีช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้จากหลายช่องทาง โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งมีทั้งข้อมูลที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง แม้ว่าสื่อสังคมออนไลน์จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจที่ใช้สำหรับเผยแพร่ข่าวสาร อย่างไรก็ตามเราควรให้ความสำคัญและระมัดระวังอย่างมากในการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งด้านของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการแชร์ข้อมูล” นายภุชพงค์กล่าว เพื่อให้มีการใช้สื่อออนไลน์อย่างรู้เท่าทัน และสร้างสรรค์ สามารถรับข้อมูลที่ถูกต้องผู้บริโภคควรเลือกเสพข่าวจากหลายช่องทาง และอยากรณรงค์ให้ประชาชนใช้วิธีการ 12 ข้อดังต่อไปนี้ ในการตรวจสอบข่าวปลอม ได้แก่  1.อ่านข่าวทั้งหมดโดยไม่เชื่อพาดหัวข่าวเพียงอย่างเดียว 2. ตรวจสอบ URL ของเว็บไซต์ที่นำมาเผยแพร่ 3. ตรวจสอบแหล่งที่มาตัวตนของผู้เขียน 4. ดูความผิดปกติของตัวสะกดภาษาที่ใช้หรือการเรียบเรียง  5. พิจารณาภาพประกอบข่าว 6. ตรวจสอบวันที่ของการเผยแพร่ข่าว 7. ตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ผู้เขียนนำมาใช้ 8. หาข้อมูลเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่น9. ตรวจสอบว่าข่าวสารที่ส่งต่อกันมามีวัตถุประสงค์ใด 10. พิจารณาความสมเหตุสมผลของข่าว 11. ตรวจสอบอคติของตนเอง และ 12. หากมีคำถามหรือข้อสงสัยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นายภุชพงค์ กล่าวว่า ในปี 2564 กระทรวงดิจิทัลฯ และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เตรียมแผนการดำเนินการสร้างการรับรู้เท่าทันข่าวปลอมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเติมความรู้โดยจะผลิตสื่อที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เช่น วิดีโอต่างๆ ที่สอดคล้องกับ 4 กลุ่มข่าว, สื่อไวรัลที่อยู่ในกระแสของสังคม ,พัฒนาระบบในการใช้ตรวจสอบข่าวปลอมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามยุคสมัย และขอความร่วมมือกับสำนักข่าว -สำนักข่าวไทย.

กสทช.ประชาพิจารณ์หลักเกณฑ์ใช้สิทธิดาวเทียมเป็นครั้งแรก

กรุงเทพฯ 2 ธ.ค. กสทช. เผยหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมครั้งแรกของประเทศไทย  พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รองเลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า วันนี้ (2 ธันวาคม 2563) สำนักงาน กสทช. ได้จัดการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package) เพื่อรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563  พล.อ.ท.ธนพันธุ์ กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างประกาศฉบับนี้ คือ การนำสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมหรือที่เรียกว่าเอกสารข่ายงานดาวเทียม (Satellite Network Filing) ทั้งหมดที่ประเทศไทยมีอยู่ ทั้งในขั้นสมบูรณ์และขั้นต้นมาจัดเป็นชุด (Package) ตามวงโคจร (Slot) ทั้งหมด 4 ชุด พร้อมกำหนดราคาขั้นต่ำ เพื่อจะนำสิทธิดังกล่าวมาอนุญาตตามหลักเกณฑ์และวิธีการ โดยชุดข่ายงานดาวเทียมทั้ง 4 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 ประกอบด้วย วงโคจร 50.5E (ข่ายงาน C1, N1 และ P1R) และ วงโคจร 51E (ข่ายงาน 51) ราคาขั้นต่ำ 728.199 ล้านบาท ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ LSX2R) ราคาขั้นต่ำ 366.488 ล้านบาท  ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ LSX3R) และ วงโคจร 120E (ข่ายงาน 120E) ราคาขั้นต่ำ748.565 ล้านบาท ชุดที่ 4 ประกอบด้วย วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) และ วงโคจร 142E (ข่ายงาน G3K และ N5) ราคาขั้นต่ำ 364.687 ล้านบาท  ทั้งนี้การประเมินราคาขั้นต่ำนั้น คำนวณตามต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงในการให้ได้มาซึ่งเอกสารข่ายงานดาวเทียมในแต่ละข่ายงาน เช่น มูลค่าเริ่มต้นในการขอข่ายงาน หรือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับ ITU เป็นต้น รวมกับมูลค่าโอกาสในการเข้าสู่ธุรกิจ ทำให้ข่ายงานที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์มีมูลค่ามากกว่าขั้นต้น เนื่องจากสามารถสร้างและส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรเพื่อประกอบการได้ทันที อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากผู้ที่ได้รับการคัดเลือกต้องชำระค่าธรรมเนียมตามราคาที่เสนอสูงสุดแล้ว ยังต้องชำระค่าธรรมเนียมการอนุญาตให้ใช้สิทธิการใช้วงโคจรดาวเทียมรายปีในอัตราร้อยละ 0.25 ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย รวมทั้งค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่ 3 ในอัตราไม่เกินร้อยละ1.5 และ ค่าธรรมเนียม USO ในอัตราร้อยละ 2.5 ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงที่เกี่ยวกับการประสานงานคลื่นความถี่ และตามที่ ITU เรียกเก็บอีกด้วย พล.อ.ท.ธนพันธุ์ กล่าวว่า สำหรับวิธีการคัดเลือกนั้นแม้ตามกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องใช้วิธีการประมูล อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสร้างสมดุลในเรื่องการรักษาสิทธิและประโยชน์ที่ประเทศชาติ และประชาชนจะได้รับ จึงได้กำหนดวิธีการคัดเลือกเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การพิจารณาข้อเสนอด้านประสบการณ์และความสามารถในการดำเนินการ โดยมีเกณฑ์ เช่น ประสบการณ์การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียม แผนการใช้งานข่ายงานดาวเทียม ข้อเสนอช่องสัญญาณสำหรับบริการสาธารณะ หรือข้อเสนอการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาเป็นต้น ทั้งนี้ต้องมีการวางหลักประกัน ร้อยละ 10 ของราคาขั้นต่ำในแต่ละชุด โดยผู้เข้าร่วมการคัดเลือกจะต้องได้รับคะแนนในแต่ละเกณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 และได้คะแนนประเมินรวมเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 จึงจะผ่านเข้าสู่ขั้นตอนที่สอง  ขั้นตอนที่ 2 การพิจารณาข้อเสนอด้านราคา โดยเลือกผู้ชนะจากการยื่นข้อเสนอด้านราคาสูงสุง โดยผู้ชนะในแต่ละชุดจะได้รับการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม มีอายุการอนุญาต 20 ปี โดยมีเงื่อนไขที่สำคัญ เช่น ต้องมีดาวเทียมใช้งานจริงกับข่ายงานขั้นสมบูรณ์เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ และจะได้รับการคุ้มครองสิทธิโดย กสทช.จะไม่อนุญาตให้มีการมาขอส่งเอกสารข่ายงานใหม่สำหรับวงโคจรนั้นอีกเป็นระยะเวลา 5 ปี อย่างไรก็ตามต้องมีแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินและประกันการใช้งานต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดให้มีช่องสัญญาณเพื่อบริการสาธารณะและประโยชน์ของรัฐไม่ต่ำกว่าร้อยบะ 10 ของความจุของดาวเทียมรวมทั้งต้องรับผิดชอบแทนภาครัฐกรณีที่ก่อให้เกิดความเสียหายตามข้อตกลงระหว่างประเทศ เป็นต้น สำหรับข้อคิดเห็นที่ได้รับจากการรับฟังความคิดเห็นในเบื้องต้นโดยสรุปนั้น ผู้ประกอบการยังมีความกังวลในเรื่องราคาขั้นต่ำและค่าธรรมเนียมที่เกรงว่าจะเป็นภาระทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับดาวเทียมต่างชาติได้ เนื่องจากการเปลี่ยนมาสู่ระบบการอนุญาตครั้งนี้ไม่ใช่ในลักษณะให้สิทธิแบบระบบสัมปทานและในอนาคตยังมีการเข้ามาแข่งขันจากดาวเทียมต่างชาติที่ กสทช. กำหนดค่าธรรมเนียมไว้เพียงร้อยละ 3.2 เท่านั้น ในขณะเดียวกันกับภาครัฐที่กังวลกับรายได้ที่จะได้ว่าน้อยเกินไปหรือไม่จากราคาขั้นต่ำทั้ง 4 ชุดรวมกัน 2,207.939 ล้านบาท แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสัญญาสัมปทานเดิมที่รัฐได้รับประกันรายได้ขั้นต่ำเพียง 1,415 ล้านบาท กับระยะเวลาผูกขาด 30 ปี รวมทั้งในประเด็นข้อจำกัดด้านเวลาของบางข่ายงานที่ต้องรีบดำเนินการสร้างและส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรทำให้ต้องมั่นใจได้ว่าผู้ชนะและได้รับการอนุญาตต้องมีความพร้อมจริงในการดำเนินการไม่มีการทิ้งงานเพราะจะส่งผลเสียหายต่อสิทธิวงโคจรของประเทศไทยจึงควรมีบทลงโทษที่ชัดเจนหรือป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว พล.อ.ท.ธนพันธุ์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า กิจการดาวเทียมไทยจะเปลี่ยนจากระบบสัมปทานมาสู่ระบบใบอนุญาตอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นการแก้ไขปัญหาการเกิดสุญญากาศหลังดาวเทียมไทยคม 8 นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 ที่ไม่สามารถนำดาวเทียมไทยขึ้นสู่วงโคจรได้ อย่างไรก็ตาม สำนักงาน กสทช.พร้อมที่จะนำข้อคิดเห็นต่างๆ มาพิจารณาและปรับปรุงให้มีความเหมาะสม เนื่องจากต้องยอมรับว่า กสทช.แม้มีประสบการณ์ในการประมูลคลื่นความถี่ แต่คลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมนั้นมีความแตกต่าง ดังนั้น ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่จะเกิดการอนุญาตหรือเปิดตลาดเสรีดาวเทียมไทย และส่งผลให้กิจการดาวเทียมไทยมีการเดินหน้าต่อยอดต่อไปได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อที่จะให้พี่ประชาชนได้รับบริการจากเทคโนโลยีใหม่ที่มีความก้าวกระโดดของดาวเทียมทั้งในส่วนของ Broadcast และBroadband ต่อไป-สำนักข่าวไทย.

เผยกลุ่มผู้สนใจผลิตภัณฑ์ความงามร้อยละ72ค้นหาข้อมูลผ่านทวิตเตอร์

กรุงเทพฯ 1 ธ.ค. ทวิตเตอร์ เจาะลึกบิวตี้คอมมูนิตี้ร้อยละ 72 ใช้ทวิตเตอร์ค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ความงาม รายงานของ Euromonitor International บริษัทวิจัยการตลาดเรื่องเทรนด์ความงามและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวของชาวเอเชียระบุว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดของโลกในด้านของความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล คิดเป็นร้อยละ 32 ของตลาดโลก และประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดของภูมิภาคนี้ที่เติบโตเร็วที่สุด โดย ร้อยละ 77 ของผู้ใช้งานทวิตเตอร์ในประเทศไทย มีความสนใจในเรื่องของการดูแลผิวพรรณและร่างกายของตัวเอง และ 1 ใน 3 ของคนกลุ่มนี้มีความสนใจในเรื่องเครื่องสำอางเป็นอย่างมาก ผู้คนบนทวิตเตอร์ที่สนใจด้านความงามจะมีแพสชั่นในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และอยากเป็นคนแรกที่ค้นพบ ต้องการซื้อและทดลองเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงามใหม่ ร้อยละ 72ได้เข้ามาที่ทวิตเตอร์เพื่อค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ความงามใหม่ๆ และ มากกว่า ร้อยละ 50 อยากจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ซื้อและได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น กลุ่มผู้หญิงมีสัดส่วนถึงร้อยละ 62 ที่สนทนาและแสดงความเห็นในเรื่องของความงามบนทวิตเตอร์ประเทศไทย ในขณะที่การพูดคุยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลนั้นเริ่มขยายถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ชายมากขึ้นเช่นกัน สำหรับแบรนด์ที่ปรับตัวได้ทันกับยุคสมัยจึงมักจะเลือกใช้ทวิตเตอร์เป็นช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้จากข้อมูลที่มีอยู่ด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ ผู้คนบนทวิตเตอร์ที่มีความสนใจในเรื่องของความงามเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลาย และสนใจในเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากเรื่องของความงามอีกด้วย เช่น เรื่องของอาหารเพื่อสุขภาพ, ดนตรี, การดูแลสุขภาพ, อาหารและเครื่องดื่ม และการทำอาหาร ซึ่งจากความสนใจในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ยังถือเป็นโอกาสที่เปิดกว้างให้กับนักการตลาดทั้งหลายได้สามารถสร้างบทสนทนาที่หลากหลายในการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย ร้อยละ  74 ของผู้ที่สนใจเรื่องเครื่องสำอางจะหาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ทางออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อ โดยจะมีการตั้งคำถามบนทวิตเตอร์และมองหาคำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพราะพวกเขาอยากเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ได้ซื้อสินค้าและให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่นๆ บนทวิตเตอร์เป็นอย่างมาก ผู้ที่มีความสนใจในเรื่องความงามจะมีการใช้แฮชแท็กต่างๆ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในการทวีตข้อความ แฮชแท็กความงามที่นิยมใช้กันในประเทศไทย ได้แก่ #ไว้รีวิวห้ามขายของโว้ยยย, #HowToPerfect, #ใช้ดีบอกต่อ, #ของดีบอกต่อ, #ของมันต้องมี โดยแบรนด์ใช้คำค้นหาด้วยแฮชแท็กเหล่านี้ก็จะทราบถึงเทรนด์ที่กำลังเป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมายในเชิงลึกได้ นอกจากนี้การใช้แฮชแท็กยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่แบรนด์สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาได้อีกด้วย พลังของการบอกต่อนับเป็นเครื่องมืออันทรงพลังอย่างหนึ่ง คนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้เรื่องของความสวยงามมักจะชอบทวีต, รีทวีตและโควททวีตเพื่อแสดงความคิดเห็น โดยร้อยละ 46 มักจะแสดงความคิดเห็นต่อผลิตภัณฑ์ที่เคยใช้ในขณะที่ ร้อยละ53 แฟนด้านความงามในประเทศไทยมักจะบอกต่อถึง ผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ รวมทั้งการรีวิวพร้อมติดแฮชแท็ก #ไว้รีวิวห้ามขายของโว้ยยย กับ #ใช้ดีบอกต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชื่นชอบความงามบนทวิตเตอร์มักจะใช้ในการรีวิวผลิตภัณฑ์ แม้ว่าชื่อเสียงของแบรนด์จะมีความสำคัญ แต่ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ก็ยังคงมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เสมอ แบรนด์ความงามสัญชาติไทยจึงได้เริ่มพยายามลองทำอะไรใหม่ๆ มากขึ้น มีการติดอาวุธด้านความรู้ใหม่ๆ ในเรื่องของเทรนด์ความนิยมของผู้บริโภคในประเทศ และเริ่มมีการใช้งานทวิตเตอร์เพิ่มมากขึ้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค-สำนักข่าวไทย.

อีริคสันคาดสิ้นปีคนใช้5Gแตะ220 ล้านราย

กรุงเทพฯ 1 ธ.ค. อีริคสันเผยสิ้นปี 2563 จะมีผู้ใช้เข้าถึงเครือข่าย 5G ทั่วโลก มากกว่าหนึ่งพันล้านราย นางนาดีน อัลเลน ประธานบริษัท อีริคสัน (ประเทศ ไทย) จำกัด กล่าวว่า ภายในสิ้นปีนี้ จะมีจำนวนผู้สมัครใช้ 5G ทั่วโลก เพิ่มเป็น 220 ล้านราย  ปี 2569 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะมีผู้ใช้ 5G เพิ่มขึ้นเป็น 380 ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ  32 ของจำนวนผู้ใช้มือถือทั้งหมด  ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดีย จะมีรายได้จากการให้บริการ 5G แก่ผู้บริโภค รวมกันถึง 297 พันล้านดอลลาห์สหรัฐฯ ในปี 2569  รายงาน Ericsson  Mobility  Report ฉบับล่าสุด ระบุว่า 4 ใน 10 ของจำนวนผู้ใช้มือถือในปี 2569 จะใช้ระบบเครือข่าย 5G เป็นหลัก จากปัจจุบันที่มีผู้สมัครใช้ 5G และเครือข่ายมีสัญญาณครอบคลุมมากขึ้น ตอกย้ำให้เห็นว่าเทคโนโลยี  5G คือปัจจัยสำคัญเชื่อมต่ออุปกรณ์มือถือที่ให้ความรวดเร็วที่สุด ตามรายงานยังระบุว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีจำนวนผู้คนทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านรายอยู่ในพื้นที่ที่เครือข่าย 5G  ครอบคลุม หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของจำนวนประชากรทั่วโลก และจะมีผู้ใช้ 5G ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 220 ล้านราย ในปี 2569 คาดว่าร้อยละ  60 ของประชากรทั่วโลกจะสามารถเข้าถึงระบบเครือข่าย 5G โดยมีผู้ใช้ 5G สูงถึง 3.5 พันล้านราย  และมีปริมาณดาต้อินเตอร์เน็ต 5G เกินกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณดาต้าทั้งหมดในเวลานั้น สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย เทคโนโลยี  5G  จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองรองจาก LTE โดยมียอดผู้ใช้งานกว่า  380  ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ 32  ของจำนวนผู้ใช้มือถือทั้งหมด   “5G จะเพิ่มศักยภาพบริการดิจิทัลและการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ เช่น การสตรีมวิดีโอ สตรีมมิ่งกีฬา เกมบนมือถือและบริการสมาร์ทโฮมหรือบ้านอัจฉริยะ เฉพาะ Augmented Reality (AR) เพียงอย่างเดียวก็มีแนวโน้มที่เป็นตัวสร้างรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จากสื่อต่าง ๆ ทั้งหมดของผู้ให้บริการเมื่อเทียบกับบริการอื่น ๆ เช่น เกมบนคลาวด์ คอนเทนท์แบบเสมือนจริงหรือ VR และบริการดิจิทัลในสถานที่ การเล่นเกมแบบ AR จะเป็นตัวขับเคลื่อนเริ่มต้นหลักให้กับ AR  โดยที่การใช้งานแอปพลิเคชันอื่น ๆ สำหรับ AR เช่น การรับชมโทรทัศน์และวิดีโอ การใช้งานในบ้าน โรงเรียนและเพื่อการศึกษาจะตามมา” ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือในภาพรวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในช่วงคาดการณ์มีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 33 และคาดว่าในปี 2569 จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 32 เอกซะไบต์ (Exabyte) ต่อเดือน หรือราว 33 กิกะไบต์ (Gigabyte) ต่อเดือนต่อสมาร์ทโฟน โดยการเติบโตของปริมาณการใช้ดาต้าอินเตอร์เน็ตบนมือถือได้ถูกแปลงเป็นแผนข้อมูลที่มีความหลากหลายและกว้างมากขึ้น โดยผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในพื้นที่แตกต่างกันทางด้านภูมิศาสตร์ มีการเปิดตัวบริการ 5G เชิงพาณิชย์จำนวนมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาทิ ออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์และประเทศไทย และการเปิดประมูลคลื่นความถี่ที่กำลังจะมีขึ้นในปีหน้าที่เวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งจะทำให้ระบบเครือข่าย 5G มีการเปิดใช้งานมากขึ้นเพิ่มเติม  “ผู้บริโภคในประเทศไทยได้เริ่มสัมผัสกับประโยชน์เด่น ๆ ที่สำคัญของ 5G เป็นชาติแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ในขณะเดียวกันอีริคสันประเทศไทยกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดของระบบนิเวศในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัลของประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม  4.0  และ  5G สำหรับผู้ใช้ระดับองค์กร  ความสำเร็จของ 5G ในตลาดผู้บริโภคจะมีความสำคัญต่อผู้ให้บริการ เพราะจะสนับสนุนการขยายเครือข่ายเพื่อให้สามารถกำหนดเป้าหมายการใช้งานรูปแบบใหม่สำหรับอุตสาหกรรมและองค์กรต่าง ๆ ได้”  ในรายงาน Ericsson Mobility Report ระบุถึงความสำเร็จของ 5G ที่ไม่ได้ลิมิตแค่จำนวนตัวเลขของผู้ใช้งานและความครอบคลุมของสัญญาณที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำ 5G ไปเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจและแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ซึ่งได้เริ่มปรากฎให้เห็นแล้ว อย่างเช่น การนำ 5G ไปใช้ในอุปกรณ์  Critical IoT เพื่อรองรับการทำงานของแอปพลิเคชันที่ต้องการการรับ-ส่งข้อมูลอย่างฉับไวภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภค  องค์กรและหน่วยงานของรัฐในหลายภาคส่วนสามารถพัฒนาระบบ 5G เป็นเครือข่ายสาธารณะหรือเครือข่ายที่ใช้เฉพาะ เพื่อสนับสนุนบริการสำคัญที่ต้องการความรวดเร็วสูง  การเล่นเกมบนคลาวด์ (Cloud Gaming) เป็นอีกหนึ่งหมวดหมู่ของแอปพลิเคชันเกิดใหม่ ด้วยความสามารถของระบบเครือข่าย 5G และเทคโนโลยีเอดจ์คอมพิวติ้งทำให้บริการสตรีมเกมบนสมาร์ทโฟนเข้าถึงประสบการณ์ที่มีคุณภาพ (QoE) เทียบเท่ากับการเล่นบนเครื่องพีซีหรือคอนโซลเปิดโอกาสให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมเกมที่มีความล้ำสมัย สมจริงในแบบโมบิลิตี้ รายงานอีกฉบับ “Harnessing the  5G  Consumer  Potential” จากอีริคสัน คอนซูเมอร์ แลป ที่คาดการณ์ว่าในปี 2573 ตลาด 5G ของผู้บริโภคทั่วโลกจะมีมูลค่าราว 31 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  และผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSPs) ทั่วโลกจะสร้างรายได้จากการให้บริการ 5G สูง 3.7 ล้านล้านดอลลาห์สหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีกหากมีบริการดิจิทัลใหม่ ๆ เกิดขึ้นตามมา  จากรายงานมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนียและอินเดียจะสร้างรายได้จากกลุ่มผู้บริโภคที่ใช้ระบบเครือข่าย 5G รวมอยู่ที่ 297 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าร้อยละ  79 ของรายได้ที่เกิดจากบริการดิจิทัล 5G ของผู้ให้บริการทั้งหมด (ประมาณ 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จะมาจากบริการทางด้านวิดีโอและเพลงที่มีความคมชัดและคุณภาพเสียงระดับไฮไฟ (Hi-Fi)  บริการดิจิทัล 5G อื่น ๆ ได้แก่ วิดีโอ เพลง เกม AR และ VR รวมถึงบริการ IoT สำหรับผู้บริโภค-สำนักข่าวไทย.

แคทจับมือพันธมิตรติดฟรีไวไฟ200จุดรอบกทม.

กรุงเทพฯ 1 ธ.ค. แคท จับมือพันธมิตรให้บริการ Free WiFi รอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประเดิม 200 จุดทั่วกทม ต้นปี64 พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ลงนามร่วมกับ นายรัตนพล วงศ์นภาจันทร์ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท โอบีโอเอ็น คอร์เปอเรชั่น จำกัด (OBON) ในบันทึกความร่วมมือการให้บริการ Free WiFi Service  ความร่วมมือระหว่าง CAT และ OBON จะเป็นการนำทรัพยากรที่มีของทั้งสองหน่วยงานมาใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตในรูปแบบ Free WiFi ซึ่งนับเป็นการขยายโอกาสการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชาชนในกรุงเทพมหานครให้มีมากขึ้น ทั้งนี้ เบื้องต้น CAT จะนำโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ตลอดจนอุปกรณ์โทรคมนาคมที่เกี่ยวข้องมาให้บริการในพื้นที่กว่า 200 จุด ในระยะเวลา 5 ปี ภายใต้ชื่อ@NT fre wifi โดยมุ่งเน้นติดตั้งในสถานที่ที่มีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มีความเสถียรและการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูง  ซึ่งประชาชนจะสามารถใช้บริการ Free WiFi นี้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์รายใหญ่ที่มีโครงข่ายไฟเบอร์ออปติกครอบคลุมทั่วประเทศไทย และเชื่อมตรงสู่ทั่วโลกมีความมั่นใจที่จะนำโครงข่ายของเรามาให้บริการ Free WiFi  ให้กับผู้ใช้บริการในทุกพื้นที่ ได้มีโอกาสในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ 4.0 “การใช้งานจะล็อกอินผ่านแพลตฟอร์มเฟสบุ๊ก โดย กสท จะหารือกับเฟสบุ๊กเพื่อเลือกพื้นที่ที่จะให้บริการคาดว่าจะเริ่มให้บริการในระยะแรกในไตรมาสที่1 ของปี 2564 ประมาณ 200 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยจะใช้งานได้ที่ความเร็วที่ 30 เมกกะบิตต์ต่อวินาที ด้วยการ ล็อกอินครั้งละ 3 ชั่วโมงหน้าที่ของบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ หนือ NT เป็นส่วนหนึ่งของการเข้าถึงประชาชน ที่มีสิทธิในการเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตที่เป็นบริการสาธารณูปโภคที่ประชาชนควรได้จากรัฐ รายได้ที่เกิดขึ้นจึงมุ่งไปที่การทำให้บริการอยู่ต้อไปได้ ” พันเอกสรรพชัย กล่าว  นายรัตนพล วงศ์นภาจันทร์ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท โอบีโอเอ็น คอร์เปอเรชั่น จำกัด (OBON) เปิดเผยว่าในปัจจุบัน ทุกคนมีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อย ๆ และทุกอย่างในชีวิตปัจจุบันมีอินเทอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่ง OBON เล็งเห็นว่ายังมีคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ในทุกพื้นที่ “วิสัยทัศน์ของเราคือการเข้าถึง Free WiFi ได้ในทุกพื้นที่ บริการ Free WiFi ที่ใช้งานได้จริง ความพร้อมของ Free WiFi ที่มีกำลังส่งดาต้า และการให้บริการ Free WiFi ที่ง่ายต่อการเข้าใช้งานโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ทั้งนี้ OBON คาดหวังว่า @nt Free WiFi – CAT จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่ยุค“ดิจิทัลไทยแลนด์ 4.0” โดยเราจะมีกิจกรรมมากมายเกี่ยวกับโครงการ @nt Free WiFi ให้ผู้เข้าใช้งานได้ร่วมสนุกจากกลุ่มผู้สนับสนุนในทุกภาคส่วน” -สำนักข่าวไทย.

วช. โชว์ 70 ผลงาน เดินหน้าพัฒนาประเทศ

วช. 30 พ.ย.63 – ชู 70 ผลงานวิจัย วช. เป็นอาวุธสำคัญในการพัฒนาประเทศ พร้อมปรับองค์กรใหม่ในอีก 2 ปี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานตรงเป้า ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. เยี่ยมชมการดำเนินงานของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. พร้อมติดตามชม 70 ผลงานวิจัยเด่น วช. ประจำปี 2563 โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการ วช. ให้การต้อนรับ และรายงานการดำเนินการของ วช. ในรอบปีที่ผ่านมา ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย กล่าวว่า วช. เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ที่มีส่วนสำคัญในการนำงานวิจัยมาช่วยในการพัฒนาประเทศ และตอบโจทย์ความต้องการของภาครัฐ เอกชน และประชาชน […]

สดช.ร่วม22องค์กรรัฐทำดิจิทัลเอาท์ลุก2020

กรุงเทพฯ 30 พ.ย. สดช. ประกาศแสดงเจตนารมณ์ร่วม 22 หน่วยงาน จัด Thailand Digital Outlook 2020 ระยะ 2 ขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดเผยผลการสำรวจและจัดทำดัชนีตัวชี้วัดด้านดิจิทัลของประเทศ ปี 2563 (Thailand Digital Outlook 2020) โครงการศึกษาวิจัย Thailand Digital Outlook ระยะที่ 2 ที่ สดช. ได้ร่วมมือกับทีมที่ปรึกษา ในการศึกษาแนวทางการจัดเก็บตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ว่า การสำรวจยึดหลักเกณฑ์และกรอบการดำเนินงานในระดับสากลที่องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ได้กำหนดไว้  และมีเป้าหมายสำคัญเพื่อสำรวจและศึกษาสถานภาพปัจจุบันด้านการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศไทย หรือThailand Digital Outlook อันจะนำไปสู่การจัดเตรียมการและข้อเสนอแนะเพื่อปฏิรูประบบดิจิทัลและการดำเนินนโยบายและมาตรการการพัฒนาด้านดิจิทัลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป โดยมีผู้บริหารจากทั้งรัฐและเอกชนจำนวน 22 หน่วยงาน เข้าร่วม  นางวรรณพร กล่าวอีกว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในคณะนโยบายขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เมื่อปี พ.ศ. 2561 ตามแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากลตามกรอบที่ OECD กำหนดเช่น กรอบ OECD Measuring the Digital Transformation และกรอบ OECD Going Digital Toolkit ซึ่งประกอบด้วยการประเมินสภาพเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านตัวชี้วัดใน 8 ด้าน มิติ คือ การเข้าถึง (Access) การใช้งาน (Use) นวัตกรรม (Innovation)  อาชีพ (Jobs) สังคม (Society) ความน่าเชื่อถือ (Trust) การเปิดเสรีของตลาด (Market Openness) และการเติบโตและสภาพความเป็นอยู่ (Growth & Well-being) และมีตัวชี้วัดมากกว่า 130 ตัวชี้วัด นำไปสู่การดำเนินโครงการศึกษาวิจัย Thailand Digital Outlook ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสถานภาพการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) และสอดคล้องกับภารกิจหนึ่งของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่จะต้องรับทราบ ทำความเข้าใจ การเปลี่ยนผ่านในยุคดิจิทัลที่เกิดขึ้นภายในประเทศ วิเคราะห์ประเด็นทางเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล รวมถึงแนวโน้มการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อันจะช่วยให้กระทรวงฯ และ สดช. สามารถเตรียมการ จัดทำนโยบายและแผนงาน รวมถึงออกมาตรการเพื่อมุ่งส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลของประเทศโดยรวมต่อไปได้ ปี 2563 สดช. ได้มีการดำเนินโครงการศึกษาวิจัย Thailand Digital Outlook ระยะที่ 2 ขึ้น โดยดำเนินการศึกษาวิจัย สำรวจและวิเคราะห์ประเด็นทางเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงแนวโน้มการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยอาศัยกรอบตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญตามแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากลตามกรอบของ OECD ผลการศึกษาวิจัยจากโครงการนี้ ถือเป็นที่น่าพอใจยิ่ง สามารถแสดงภาพการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศ อันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายดิจิทัลของกระทรวงฯ สดช. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสะท้อนให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของประเทศไทยในปัจจุบัน ที่ต้องได้รับการพัฒนาต่อยอด หรือปรับปรุงแก้ไขต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนยังสามารถนำข้อมูลผลการสำรวจ และผลการศึกษาวิจัยต่าง ๆ จากโครงการศึกษาวิจัย Thailand Digital Outlook ระยะที่ 2 ไปใช้ประโยชน์ต่อยอดได้โดยแท้จริง ทั้งการปฏิบัติงานตามภารกิจของหน่วยงาน การให้บริการภาคประชาชนและภาคธุรกิจ การออกนโยบายและมาตรการส่งเสริมภาคประชาชนและภาคธุรกิจสำหรับหน่วยงานภาครัฐ และการวางแผนดำเนินกิจการในธุรกิจของท่านสำหรับภาคเอกชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสอดรับกับสภาพตลาดในยุคดิจิทัลไทยแลนด์-สำนักข่าวไทยสดช

ดีแทคจับมือยาราพัฒนาเกษตรโกแพลตฟอร์มช่วยเกษตรกรตัดสินใจเพาะปลูก

กรุงเทพฯ 30 พ.ย. ดีแทคจับมือยาราเปิดตัว Kaset Go เครือข่ายดิจิทัลชุมชนเพื่อเกษตรกรแห่งแรกในประเทศไทย นายชารัต เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทคกล่าวว่า แพลตฟอร์ม Kaset Go มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของภาคการเกษตรของประเทศไทยด้วยการเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้เชี่ยวชาญเข้ากับชุมชนเกษตรกร 30 พฤศจิกายน 2563-ดีแทคและยาราประเทศไทยเปิดตัว Kaset Go แอปพลิเคชันบนมือถือที่เชื่อมต่อเกษตรกรเข้ากับข้อมูลเชิงลึกที่เชื่อถือได้และเรียลไทม์ที่ตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรแอปพลิเคชันได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้เกษตรกรไทยใช้ประโยชน์จากความรู้ด้านการเกษตรของยาราประเทศไทยและเทคโนโลยีการสื่อสารจากดีแทคปัจจุบัน Kaset Go เปิดโอกาสให้เกษตรกรถามคำถามกับผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรและแบ่งปันความรู้กับเกษตรกรรายอื่นในชุมชนที่มีประสบการณ์คล้ายกันนอกจากนี้ยังช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญเช่นราคาพืชผลประจำวันข่าวเกษตรเคล็ดลับเกี่ยวกับพืชหลัก 8 ชนิดในประเทศไทย ได้แก่ ข้าวข้าวโพดไร่ผักทุเรียนมังคุดลำไยส้มและมะม่วงรวมทั้งพืชอีกกว่า 52 ชนิดเนื้อหามีความเหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของเกษตรกรในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทยและจะมีเนื้อหาเฉพาะเพื่อสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรที่มีความสนใจเฉพาะทางเช่นการให้คำแนะนำเรื่องมาตรฐานและใบรับรองทางการเกษตรการ เนื้อหาในแอปพลิเคชันนี้ได้รับการสนับสนุนโดยผู้เชี่ยวชาญจากกรมส่งเสริมการเกษตรภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิดและยาราประเทศไทย Kaset Go อาจเป็นตัวเปลี่ยนวิธีในการทำเกษตรแบบดิจิทัลของประเทศไทย นับตั้งแต่การเปิดตัวในเดือนสิงหาคม Kaset Go มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 150,000 ครั้งและดึงดูดผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 100,000 คนเนื่องจากจำนวนการดาวน์โหลดและผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณดีแทคและยาราประเทศไทยกำลังวางแผนการพัฒนาขั้นต่อไปของ Kaset Go ซึ่งจะรวมข้อมูลเกี่ยวกับพืชผลอีก 44 รายการและฟีเจอร์หลักที่สำคัญในการเพาะปลูกเช่นคำเตือนสภาพอากาศการแจ้งเตือนโรคการเปรียบเทียบราคาตลาดนอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายไปสู่บริการเสริมอื่นเช่นอุปกรณ์ฟาร์มประกันภัยและการเงิน นายเมดเซนท์-อังเดร์กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยารา (ประเทศไทย) จำกัด และรองประธานกลุ่มธุรกิจประเทศไทยและประเทศเมียร์ กล่าวว่า ยาราเขื่อว่า Kaset Go จะกลายเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสำหรับเกษตรกรและเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศไทย” 4 ฟีเจอร์เด่นแอปKaset Go ที่สนับสนุนเกษตรกรไทยให้ก้าวไกล คำถามและคำตอบที่ได้รับการรับรอง การให้คำตอบที่เป็นประโยชน์และให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรในแพลตฟอร์มผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ของเกษตรกรในชุมชนโดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้รับรองความถูกต้อง การเชื่อมต่อและแบ่งปันความรู้ ชุมชนที่เกษตรกรสามารถเชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่และเพื่อนเกษตรกรได้อย่างเปิดเผยเพื่อแบ่งปันความรู้เชิงปฏิบัติจากประสบการณ์จริงของตนเองส่งเสริมการสร้างชุมชนตามพืชผลหัวข้อและพื้นที่ของเกษตรกรเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นในชุมชนจะได้รับการรวบรวมและแบ่งปันกลับไปยังเกษตรกรในแพลตฟอร์มรวมถึงประสบการณ์จริงจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและข้อมูลราคา   นอกจากนี้จะมีข้อมูลเชิงลึกที่ตรงความต้องการและสามารถนำไปใช้ได้ทันทีเนื่องจากข้อมูลการเกษตรมีความหลากหลาย Kaset Go จึงช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการจัดลำดับและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดแบบเรียลไทม์และสามารถให้ข้อมูลสำคัญกลับไปยังเกษตรกรได้อย่างทันท่วงทีช่วยให้เกษตรกรติดตามแนวโน้มการเพาะปลูกและเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้ในท้องถิ่นเพียงปลายนิ้วสัมผัสเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่ดีขึ้นสำหรับการเกษตรของตน และบริการด้านการเกษตรแบบดิจิทัล คุณสมบัติที่สร้างมูลค่าเพิ่มพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มการทำงานของแพลตฟอร์ม Kaset Go ได้แก่ เทคโนโลยีล้ำสมัยที่สามารถตอบสนองความต้องการของเกษตรกรได้ดีขึ้นตามสถานที่เช่นราคาพืชผลการพยากรณ์อากาศคำเตือนสภาพอากาศและการแจ้งเตือนศัตรูพืช-สำนักข่าวไทย.

เอปสันชี้โควิด-19ดันธุรกิจเครื่องพิมพ์สิ่งทอโต

กรุงเทพฯ 30 พ.ย.เอปสันชี้โควิด-19 ทำให้คนเข้าสู่ธุรกิจสิ่งพิมพ์มากขึ้น ระบุเครื่องพิมพ์สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอมีแนวโน้มการเติบโตสูง นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจในปีนี้บวกกับสถานการณ์โควิด -19 ทำให้มีคนเลือกทจะทำงานเป็นฟรีแลนซ์หรือเปิดธุรกิจของตัวเองมากขึ้นในธุรกิจให้บริการการพิมพ์ก็มีผู้ประกอบการที่เน้นงานประเภทออนดีมานด์เกิดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและหันมาลงทุนเครื่องพิมพ์ขนาดเล็กและกลางมากขึ้นโอกาสทางการตลาดสำหรับเครื่องพิมพ์ของเอปสันโดยเฉพาะในกลุ่มสิ่งทอจึงเปิดกว้างมากเป็นเครื่องพิมพ์เพื่ออุตสาหกรรมสิ่งทอสำหรับรองรับตลาดที่กำลังขยายตัวโดยมีลูกค้าเป้าหมายเป็นสตาร์ทอัพนักออกแบบมินิแล็บโรงงานพิมพ์ผ้าร้านรับทำของพรีเมี่ยมร้านเสื้อผ้ากีฬาแบรนด์แฟชั่นรวมถึงสถาบันศึกษา ตั้งแต่เปิดปีงบประมาณ 2563 มาได้ 6 เดือน (เมษายน-กันยายน) กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ระดับมืออาชีพของ บริษัท ฯถือว่าทำได้ดีเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้โดยมีเครื่องพิมพ์สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ทำยอดขายได้มากสุดคิดเป็นร้อยละ 35 ของยอดขายทั้งหมดของกลุ่มผลิตภัณฑ์รองมาคือเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณาร้อยละ 28 และเครื่องพิมพ์เพื่อธุรกิจโฟโต้และงานศิลป์ร้อยละ 27 ตามมาด้วย T-Series เครื่อง พิมพ์ในองค์กรสำหรับงานเขียนแบบงานกราฟิกพิมพ์ เขียวและโปสเตอร์ร้อยละ 8 และเครื่องพิมพ์ฉลากดิจิทัลร้อยละ 2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ผู้ประกอบการจำนวนมากในอุตสาหกรรมกำลังนำธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้นและให้ความสนใจกับเทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มโอกาสในการรับงานแบบออนดีมานด์และไม่สร้างมลภาวะในที่ทำงาน   “ตลาดเครื่องพิมพ์สิ่งทอที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศไทยมีขนาดและมูลค่าอยู่ในระดับสูงเครื่อง พิมพ์เชิงพาณิชย์ ใช้งานในธุรกิจและอุตสาหกรรม เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูงจากการเครื่องพิมพ์ที่รองรับกระบวนการเปลี่ยนผ่านขององค์กรไปสู่ดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีทีามีประสิทธิภาพการพิมพ์ที่ดี เครื่อง พิมพ์ดิจิทัลยังรองรับความต้องการพิมพ์งานที่สะดวกรวดเร็วสมารถรองรับงานพิมพ์ที่ออกแยยได้อย่างสะดวกรวดเร็วภายใต้ต้นทุนต่ำและเหตุผลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด”  นายบรรยง กล่าวอีกว่า เครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์มีศักยภาพในตลาดประเทศไทยและยังรองรับการทำธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นหลังยุคโควิด-19ปัจจัยที่จะทำให้ประสงความสำเร็จได้คือการสร้างแบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ผลิตภัณฑ์ -สำนักข่าวไทย.

1 8 9 10 11 12 51
...