รายงานพิเศษ : คลื่น 5G ส่งด้วยกำลังส่งสูงจนเป็นอันตรายจริงหรือ??

ทุกครั้งที่มีการอัพเดทเครือข่ายสื่อสารจากเทคโนโลยีระดับหนึ่งไปอีกระดับขั้นหนึ่ง มักมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่าเมื่อเปลี่ยนผ่านจากเจนเนอเรชั่นหนึ่งไปอีกเจนเนอเรชั่น ด้วยความสามารถในการสื่อสารที่เร็วขึ้น แรงขึ้น สัญญาณที่ส่งมีอันตรายต่อมนุษย์ หรือผู้ใช้งานหรือไม่ เมื่อเราได้ปลี่ยนผ่านการสื่อสารจาก4G ไป5G เชื่อว่าคำถามแบบนี้จะเกิดขึ้นมาอีกแน่นอน เราจึงไปสอบถามกับผู้เชี่ยวชาญ นายสืบศักดิ์ สืบภักดี เลขาธิการสมาคมโทรคมนาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อไขความกระจ่าง โดยเลขาธิการ สมาคมโทรคมนาคม อธิบายว่า กระแสความตื่นตัวเรื่องเทคโนโลยี 5G ในบ้านเราเริ่มเป็นที่สนใจมาโดยลำดับนับตั้งแต่ กสทช. จัดให้มีการประมูลคลื่น 5G ทั้งความถี่ 700MHz 2600 เมกกะเฮิรตซ์ และ 26 กิกะเฮิรตซ์ ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ต่อเนื่องกับการที่ผู้ประกอบการ 2 รายใหญ่ลงทุนขยายเครือข่าย 5G ทันที โดย ณ วันนี้สามารถพูดได้ว่า ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีบริการ 5G เชิงพาณิชย์ให้บริการ รวมถึงมีพื้นที่ครอบคลุม 5G มากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนที่ทยอยเปิดบริการ 5G ตามมาก็ตามแม้เทคโนโลยีมือถืออาจไม่ได้ใหม่สำหรับผู้ใช้ แต่ในเมื่อ 5G เป็นเรื่องใหม่ในแง่มุมของเทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจหรือการรับรู้ในรายละเอียดอาจมีความแตกต่างจากเทคโลโลยี 3G หรือ 4G ในอดีต สิ่งหนึ่งเลยที่คนมักเข้าใจผิดมากคือเรื่อง “ความเร็ว” ที่ 5G สามารถทำได้มากกว่าเดิม 10 เท่า แสดงว่าส่งคลื่น “แรง” กว่าเดิม 10 เท่าด้วย!! และถูกเชื่อมโยงไปสู่เรื่องอันตรายจากคลื่นที่แรงหรือกระทบสุขภาพเกิดเป็นกระแสบอกต่อ หรือแชร์ผ่านโลกโซเชียลต่อ ๆ กัน โดยขาดความเข้าใจที่แท้จริง “เทคโนโลยี 5G เป็นของใหม่ที่ต้องยอมรับว่าต้องให้เวลาสังคมหรือผู้บริโภคได้ทดลองใช้ หรือเข้าใจในตัวเทคโนโลยีให้มากขึ้นเช่นเดียวกับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอดีตที่อาจมีข้อกังวลหรือไม่ยอมรับในช่วงแรกแต่เมื่อสังคมหรือผู้บริโภคมีความเข้าใจในข้อเท็จจริงและวางใจแล้ว ก็จะคลายความกังวลไป เหมือนที่ในอดีตคนไม่กล้าใช้เตาไมโครเวฟตอนที่เปิดตัวใหม่ ๆ เพราะกลัวอันตรายจากคลื่นไปสู่อาหาร หรือแม้แต่มือถือในยุคแรก ๆ ที่ผ่านมา ที่มีประเด็นเรื่องคลื่นจากเสาส่งเช่นกันกันกับที่คนพูดถึงกันมากกับ 5G ตอนนี้ ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง คลื่นก็คือคลื่น คลื่นที่ 5G ใช้ในวันนี้ก็ไม่ต่างจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรคม คลื่นโทรทัศน์ ที่ส่งออกอากาศอยู่รอบตัวเรา เพียงแต่เทคโนโลยีที่นำมาใช้บนตัวคลื่นนั้น ๆ ที่เปลี่ยนไป ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้มากขึ้น หรือเร็วขึ้นในภาษาชาวบ้าน คนเลยไปดีความว่าเร็วขึ้น แสดงว่าแรงขึ้น แล้วอันตราย ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่แบบนั้น” หลายคนบอกว่าคลื่น 5G ส่งแรงกว่า 4G มาก เลยกลัวหรือกังวลกัน? “5G ไม่ได้ส่งคลื่นแรงกว่าเดิมในแง่กำลังส่ง เสาส่งหรือสถานีฐานที่ตั้งอยู่ทั่วไปที่เห็นจริง ๆ ก็มีกำลังส่งสูงสุด (Max Power) ไม่ได้ต่างจาก 4G เดิม อุปกรณ์พวกนี้มีมาตรฐานสากลในระดับโลกควบคุมและกำหนดไปยังผู้ผลิตแต่ละรายการที่จะบอกว่าเสาส่ง 5G ส่งแรงมากเกินมาตรฐานจึงเป็นเรื่องที่อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปมาก ในแง่เทคนิคกำลังส่งสูงสุดที่เห็นในความเป็นจริงเสาก็อาจไม่ได้ส่งออกเต็มกำลังเพราะระบบจะคอนโทรลให้เครื่องส่งใช้กำลังส่งเท่าที่จำเป็นไม่ไปรบกวนเซลข้าง ๆ เทคโนโลยีมีการใช้หลายคลื่น หลายชุดเครื่องส่งพร้อมกันหากจะพูดแค่ว่าแรงกว่าเดิมอันตรายกว่าเดิม อาจไม่ใช่แบบนั้น” แสดงว่าเสาส่ง 5G ก็ไม่ได้ส่งแรงกว่า 4G หรือมีอันตรายจากคลื่นอย่างที่เข้าใจกัน? “เป็นไปตามที่อธิบาย เราอาจจะเคยได้รับข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ อาทิ 5G แรงจนทำนกใกล้ ๆเสาส่งตาย หรือ 5G ส่งผ่านคลื่นไวรัสยิ่งช่วงนี้มีกระแสโควิด-19 หรือ 5G อันตรายจนบางประเทศแบนไม่ให้ใช้ อะไรทำนองนี้บ่อยมาก แต่อยากให้ลองใช้การคิดโดยหลักข้อเท็จจริงว่า คลื่นจะ 2G 3G 4G หรือ 5G ก็คือคลื่นวิทยุเหมือนกันต่างกันที่เทคโนโลยี กำลังส่งไม่ได้ต่างกัน ถ้ากลัวเรื่องกำลังส่งจริง ๆ เสาส่งคลื่นแบบอื่นอาจใช้กำลังส่งมากกว่ามือถือ 5G ด้วยซ้ำ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีข่าวทำนกตายเป็นร้อยเป็นพันตัว หรือเรื่องการส่งไวรัสไปกับคลื่นมือถือยิ่งเป็นไปไม่ได้ นอกจากการให้คนเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีเพื่อเปิดใจ อาจต้องทำควบคู่กับการให้ข้อมูลที่ถูกต้องลบล้างกับ fake news ซึ่งแชร์กัน โดยไม่มีต้นตอหรือข้อมูลที่สืบค้นหลักฐานมายืนยันได้ บางอันก็แปลจาก blog ต่างประเทศที่มีลักษณะเป็น clickbait ด้วยซ้ำ” แสดงว่าผู้ใช้บริการสามารถวางใจและใช้งาน 5G ได้? “เรื่องมาตรฐานโทรคมเป็นเรื่องสากล ซึ่งมีหน่วยงานและกลไกดูแลทั้งระดับนานาชาติและระดับประเทศ สิ่งที่คนกังวลหรืออะไรที่มันจะเป็นอันตรายจริง ๆ ย่อมต้องมีการศึกษารับรองแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เกิดแค่ประเทศ แต่เป็นความปลอดภัยของผู้ใช้บริการทุกคนทั่วโลก อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีที่ใช้ ๆ ในประเทศเราก็ผ่านมาตรฐานและมาจากผู้ผลิตที่ทำตามมาตรฐานที่กำหนดโดยสากล ยังมี กสทช. กำกับเรื่องมาตรฐานโทรคม กำลังส่ง การขออนุญาตติดตั้ง และอื่น ๆ หลายขั้นตอน ในโลกยุคปัจจุบันที่อะไรก็สื่อสารส่งข่าวได้ไวได้ทั่วโลกแบบ 5G เรื่องร้าย ๆ อันตราย หรือสิ่งที่ไม่ปลอดภัยมันปกปิดกันไม่ได้แล้ว เว้นแต่เรื่องเหล่านั้นมันไม่จริงก็อาจเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง สุดท้ายก็โดนหักล้างโดยข้อเท็จจริงและหลักฐานยืนยัน ก็ขอให้ผู้ใช้บริการมั่นใจและวางใจเรื่องความปลอดภัยจากการใช้คลื่นได้ มีหน่วยงานและคนมอนิเตอร์เยอะไม่น่าต้องกังวล” เทคโนโลยี 5G กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในอนาคตเราจะเห็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ากับเครือข่ายและเกิดบริการที่จะขับเคลื่อนทั้งธุรกิจและการใช้ชีวิต ไม่พ้นแม้แต่เรื่องสุขภาพ เทคโนโลยีที่กังวลกันว่าอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพจากความเข้าใจที่ได้รับมาไม่ถูกต้องหรือรอบด้าน ในวันหนึ่งจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อสุขภาพ วงการแพทย์ หรือแม้แต่การรักษาผู้ป่วยแบบออนไลน์ผ่านโครงข่าย 5G ที่ส่งผ่านข้อมูลได้รวดเร็วครอบคลุม เมื่อถึงวันนั้นทุกคนอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยกังวลกับ 5G แบบเรื่องเล่าที่ส่งต่อ ๆ กันทุกวันนี้-สำนักข่าวไทย

กกพ.จับมือเทลสกอร์ใช้พลังอินฟอเลนเซอร์สร้างความตระหนักใช้พลังงานสะอาด

กรุงเทพฯ 28 ธ.ค. กกพ. สนับสนุน เทลสกอร์ ดึงพลังอินฟลูเอนเซอร์ส่งเสริมพลังงานสะอาด ส่งเสริมการตระหนักรู้และมีส่วนร่วมทางด้านไฟฟ้า ภายใต้แนวคิด Clean Energy for Life กองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ให้การสนันสนุนเทลสกอร์ และภาคีจากภาครัฐและเอกชนรวม 25 องค์กร จัดทำโครงการด้านการส่งเสริมพลังงานสะอาด 26 โครงการ  ภายใต้แนวคิด Clean Energy for Life ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน มุ่งส่งเสริมให้สังคมและประชาชนมีความรู้ ความตระหนัก และมีส่วนร่วมด้านไฟฟ้า และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพลังงานสะอาด (Clean Energy)  นายบัณฑูร  เศรษฐศิโรตม์ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)  กล่าวว่า พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้(Affordable and Clean Energy) เป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ดังนั้น กกพ. ในฐานะองค์กรกำกับดูแลกิจการพลังงานด้านกิจการไฟฟ้าและกิจการก๊าซธรรมชาติ จึงต้องการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ผ่านพลังการสื่อสาร ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อสังคมไทยและคุณภาพชีวิตของคนไทย ทั้งนี้จากความสำเร็จของโครงการในปีที่แล้วเพื่อสร้างการตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยใช้กลยุทธ์การสื่อสารทุกมิติ จนก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมทางสังคม สู่การปรับใช้จริงในชีวิตประจำวัน เราจึงเดินหน้าต่อยอดไปสู่กลยุทธ์การสื่อสารอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2563 – 2564 โดยมุ่งเน้นการสร้างแรงบันดาลใจจนก่อเกิดเป็นรูปธรรม รวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และสร้างเครือข่ายใหม่จากพลังงานหมุนเวียน เพื่อความยั่งยืนด้านพลังงานในประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด Clean Energy for Life พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของโครงการสื่อสารในปีนี้คือการดึงอินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายวงการเข้ามาช่วยเผยแพร่เนื้อหาผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มในวงกว้าง “ผลสำเร็จของโครงการภายใต้แนวคิด Clean Energy for Life ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน  จะสร้างประโยชน์เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน และส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยดีขึ้นจากการใช้และผลิตพลังงานสะอาดที่ไม่ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แนวคิดนี้ยังนำไปสู่การเข้าถึงพลังงานสะอาดในราคาที่เข้าถึงได้สร้างผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ซึ่งทุกคนในสังคมไทยจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ ท้ายสุดแล้ว การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้จะช่วยพัฒนาสังคมไทยให้เกิดสมดุลในทุกมิติ และเชื่อมโยงสังคมทุกระดับ จากครัวเรือนสู่ชุมชน สู่สังคมโดยรวมและสู่ระดับโลก บนเส้นทางสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน”   นอกเหนือจากการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนแล้ว เป้าหมายสูงสุดของแนวคิด Clean Energy for Life ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน คือการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการช่วยสนับสนุนการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ให้โรงพยาบาล 77 แห่งทั่วประเทศไทย ผ่าน“มูลนิธิแพทย์ชนบทเพื่อไฟจากฟ้า” ซึ่งต้นทุนสำหรับการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์กำลังผลิต 100 กิโลวัตต์นั้น สามารถช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของโรงพยาบาลได้เดือนละประมาณ 60,000 บาท ดังนั้นในระยะเวลา 1 ปี โรงพยาบาลจะสามารถลดภาระค่าไฟฟ้าได้ราว 720,000 บาท โดยต่อ 1 โรงพยาบาล ใช้งบประมาณไม่เกิน 4 ล้านบาทในการติดตั้งและเนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์มีอายุการใช้งาน 25 ปี จึงสามารถช่วยโรงพยาบาลลดภาระค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 18 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาการใช้งาน โดยส่วนต่างจากการจ่ายค่าไฟที่น้อยลง สามารถนำไปจัดหาอุปกรณ์ และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคนอย่างยั่งยืน การสื่อสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์ เทลสกอร์ ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้คัดสรรอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้มีอิทธิพลด้านการสื่อสารให้ตอบโจทย์และส่งเสริมการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์และรับผิดชอบ โดยงานครั้งนี้เทลสกอลได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนพัฒนาไฟฟ้าสำนักงาน กกพ. ในการทำหน้าที่ดึงพลังการสร้างสรรค์ของอินฟลูเอนเซอร์มาใช้ในการเชื่อมต่อและถ่ายทอดข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจง่ายให้กับประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะเยาวชนและคนรุ่นใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของโครงการ Clean Energy for Life ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน นางสาวสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscore กล่าวว่า เทลสกอลจะส่งต่อความรู้เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานงานสะอาด ผ่านแคมเปญการสื่อสารที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ รวมไปถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบที่ได้รับความร่วมมือจากผู้มีอิทธิพลด้านการสื่อสารชั้นนำจากหลายวงการ ที่จะหยิบยกประเภทพลังงานทดแทนและหัวข้อสื่อสารที่สำคัญเพื่อแสดงถึงตัวอย่างของพลังงานสะอาดและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยแคมเปญการสื่อสารจะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564-สำนักข่าวไทย.

ทรูอัพเดทคลื่นความถี่ครบ 7 ย่าน

กรุงเทพฯ 28 ธ.ค. ทรู มีคลื่นความถี่ครบ 7 ย่านหลัง ชำระเงินค่าประมูลคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์ งวดแรก เล็งเพิ่มสัญญาณ 5G ต่อ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดย พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร (ที่5 จากขวา) ประธานคณะกรรมการ พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร กสทช. ร่วมรับมอบเงินค่าประมูลคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมย่าน 700 เมกกะเฮิรตซ์ ช่วงความถี่ 703-713 เมกกะเฮิรตซ์คู่กับ 758-768 เมกกะเฮิรตซ์ที่ได้รับการจัดสรรเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2562 จาก บริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โดย นายจักรกฤษณ์อุไรรัตน์ (ที่5 จากซ้าย) ผู้อำนวยการด้านรัฐกิจสัมพันธ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น จำนวน 1,881.488 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) พร้อมกับหลักประกันการชำระเงินค่าคลื่นความถี่ในส่วนที่เหลือวงเงินจำนวน 16,933.392 ล้านบาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ตามเงื่อนไขการรับใบอนุญาต ทรู 5G พร้อมเพิ่มสัญญาณบริการ 5G บนคลื่นความถี่ 700 เมกกะเฮิรตซ์ ทันทีหลังได้รับใบอนุญาตฯ ในพื้นที่ที่ กสทช. ได้ดำเนินการปรับปรุงสัญญาณทีวีดิจิทัลเพื่อใช้ในงานด้านโทรคมนาคมแล้ว ได้แก่ กรุงเทพฯและปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ซึ่งจะทำให้ ทรูมูฟ เอช มีคลื่นย่านความถี่ต่ำครบทั้ง 3 ย่านความถี่ คือ700 เมกกะเฮิรตซ์, 850 เมกกะเฮิรตซ์และ 900 เมกกะเฮิรตซ์ เพิ่มศักยภาพการให้บริการที่ครอบคลุมและสามารถทะลุทะลวงเข้าถึงภายในอาคารได้ดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผสานการให้บริการบนคลื่นครบทั้ง  7 ย่านความถี่ โดยเฉพาะคลื่น 2600 เมกกะเฮิรตซ์ ที่เปิดให้บริการ ทรู 5G อยู่แล้ว -สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสวอนประชาชนโหลดใช้แอปหมอชนะสู้โควิด-19

กรุงเทพฯ 27 ธ.ค. พุทธิพงษ์ วอนประชาชนช่วยใช้แอป  “หมอชนะ” ติดตามสอบสวนโรคได้เร็ว  ช่วยหมอพยาบาลทำงานง่าย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)  กล่าวว่า  ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ได้ระบาดรอบใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่างด้าว ผู้ค้าขายที่สัมผัสใกล้ชิด รวมถึงประชาชนหลายพื้นที่  ทางศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จึงได้เห็นชอบให้รณรงค์การโหลดใช้แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) และทีมผู้เชี่ยวชาญคนไทย พัฒนาแอปพลิเคชันขึ้น  แอปพลิเคชัน “หมอชนะ” จะช่วยติดตามและสอบสวนโรคให้ครอบคลุมทั่วถึงและแม่นยำมากขึ้น ช่วยให้เจ้าหน้าที่ แพทย์ทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยระบบจะบันทึกข้อมูลการเดินทางของผู้ใช้งานด้วยเทคโนโลยี GPS และ Bluetooth เพื่อช่วยแจ้งเตือนประชาชนเมื่ออยู่ในบริเวณหรือใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยโรค โควิด-19 ให้สามารถเฝ้าระวัง และเข้าพบกับเจ้าหน้าที่สอบสวนโรคได้ทันท่วงที  การดาวน์โหลดแอปฯหมอชนะ ทำได้ง่าย สะดวก ทั้งระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ และ ไอโอเอส เพียงแค่ค้นหาคำว่า “หมอชนะ” แล้วโหลด ใส่ข้อมูลส่วนตัวเบื้องต้นเท่านั้น ก็สามารถใช้งานได้ทันที   “ข้อดีของแอปพลิเคชัน”หมอชนะ” คือ ข้อมูลเชื่อมตรงกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มี QR code สี แสดงความเสี่ยง เข้าใจง่าย ตามเกณฑ์กรมควบคุมโรค ช่วยจำกัดผู้ที่มีความเสี่ยง เข้าพื้นที่ปลอดภัย ด้วย QR code สี ทำให้ได้ข้อมูลไทม์ไลน์จริงไม่หลงลืม หรือป้องกันการปกปิดข้อมูลและลดภาระหมอ พยาบาล ในการควบคุมโรคในวงกว้าง”นายพุทธิพงษ์ กล่าว ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าการเข้าไปดูข้อมูลส่วนบุคคล จะทำต่อเมื่อบุคคลมีการตรวจพบว่าติดโรคโควิด-19 โดยผู้ใช้งานและควบคุมข้อมูลได้ คือกรมควบคุมโรคหน่วยงานเดียวเท่านั้น หากประชาชนสงสัยว่ามีอาการ หรือไปในพื้นที่เสี่ยง สัมผัสใกล้ชิดผู้ที่ป่วย ให้รีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที หรือสอบถามเพิ่มเติมที่สายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข-สำนักข่าวไทย.

เว็บเอ็กซ์เพิ่มคุณสมบัติรองรับเทรนด์ทำงานไฮบริด

กรุงเทพฯ 25 ธ.ค. ซิสโก้เปิดนวัตกรรม Webex รองรับการทำงานร่วมกันแบบไร้รอยต่อ ซิสโก้ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ล่าสุดหลายรายการบนแพลตฟอร์ม Webex ที่จะช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ และปรับเปลี่ยนประสบการณ์ของพนักงาน นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แพลตฟอร์ม Webex นอกจากจะช่วยให้องค์กรธุรกิจฟันฝ่าวิกฤต และดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับรัฐบาลในการบริหารจัดการหน่วยงานต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่อทางไกล ทั้งยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพบแพทย์ได้อย่างปลอดภัย ขณะที่ครูและอาจารย์ก็สามารถสอนหนังสือในระบบการศึกษาทางไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลกกำลังเตรียมพร้อมรองรับการทำงานรูปแบบ ‘ไฮบริด’ (Hybrid) ในอนาคต โดยการทำงานในรูปแบบดังกล่าว พนักงานจะสามารถปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างการทำงานในออฟฟิศ และการทำงานจากที่บ้าน เพื่อให้สอดรับกับวิถีชีวิตภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19   Webex รูปโฉมใหม่รองรับการติดต่อสื่อสารและการทำงานร่วมกันอย่างปลอดภัยและครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการโทรติดต่อการประชุม และการรับส่งข้อความ โดยทั้งหมดนี้รวมอยู่ในแอพเดียว นวัตกรรมมากกว่า 50 รายการที่เปิดตัวในวันนี้ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ การทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ประสบการณ์การทำงานแบบสมาร์ทไฮบริด (Smart Hybrid) และประสบการณ์ของลูกค้าที่เหนือกว่า โดยทั้งหมดนี้ทำงานบนระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง พร้อมการจัดการที่ง่ายดายและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นที่มีอยู่ในเทคโนโลยีของซิสโก้  ฟีเจอร์ใหม่ที่พร้อมใช้งานในวันนี้ได้แก่ การตัดเสียงรบกวน และการปรับปรุงเสียงพูด การถอดเสียงและคำบรรยาย ไฮไลต์สิ่งที่ต้องดำเนินการ (action items) ปรับปรุงเลย์เอาต์สำหรับวิดีโอ และ Webex Huddle (การประชุมแบบทันทีด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว) หลากหลายฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในระบบรับส่งข้อความ (Messaging) ที่ช่วยให้โฟกัสกับเรื่องสำคัญที่สุด ฟีเจอร์ใหม่ในการวิเคราะห์ข้อมูล (People Insights ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Webex Graph) นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเฉพาะบุคคล และคำแนะนำที่นำไปใช้งานได้จริงสำหรับพนักงาน ทีมงาน และองค์กร ซิสโก้ได้เปิดตัวฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ที่รองรับถึง 9 ภาษา พร้อมฟีเจอร์ท่าทาง (Gestures) ที่ใช้ในการประชุม ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีการจดจำการเคลื่อนไหวของร่างกาย และความสามารถด้านการแชร์ได้อย่างกลมกลืน โดยฟีเจอร์เหล่านี้จะพร้อมใช้งานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อุปกรณ์ใหม่จากซิสโก้รองรับการทำงาน ประกอบด้วย กล้อง Webex Desk Camera ที่มีฟีเจอร์อัจฉริยะ การจดจำใบหน้า และการตรวจจับผู้เข้าร่วมการประชุม กล้อง Webex Desk Camera เหมาะสำหรับการใช้งานที่บ้านหรือในออฟฟิศ และตอนนี้คุณสามารถปิดเสียงและเปิดเสียงไมโครโฟนโดยใช้ท่าทางง่ายๆ นับเป็นครั้งแรกในวงการอุตสาหกรรม ซึ่งยังไม่มีกล้อง USB ใดที่สามารถทำเช่นนี้ได้ Webex Desk Hub การปรับเปลี่ยนพื้นที่สำนักงานกันอย่างจริงจัง พนักงานจำนวนมากที่กลับเข้าทำงานในออฟฟิศอาจไม่มีโต๊ะทำงานประจำอีกต่อไป ต้องใช้วิธีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน แต่ด้วย Webex Desk Hub คุณจะสามารถสร้างพื้นที่ส่วนตัวบนโต๊ะทำงานใดก็ตามที่ว่างอยู่  อุปกรณ์ชนิดใหม่นี้เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ช่วยจัดเตรียมการประชุมผ่านวิดีโอที่มีคุณภาพสูงรวมถึงการติดต่อทางโทรศัพท์ ทั้งยังช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องใช้เพื่อรองรับการทำงานและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กล้อง ชุดหูฟัง จอแสดงผล แล็ปท็อป และโทรศัพท์มือถือ  นอกจากนี้ยังมีระบบอัจฉริยะที่มอบประสบการณ์ที่สอดคล้องกัน ช่วยให้คุณทำงานต่างๆ ให้เสร็จสมบูรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นWebex Desk Hub ยังช่วยให้คุณจองโต๊ะทำงานโดยใช้แล็ปท็อป บัตรพนักงาน หรือโทรศัพท์มือถือเพื่อยืนยันตัวตนของคุณWebex Desk Hub ไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปกรณ์พื้นฐานสำหรับการหมุนเวียนโต๊ะทำงานเท่านั้น แต่เป็นอุปกรณ์ที่รองรับการทำงานรูปแบบใหม่อย่างแท้จริง-สำนักข่าวไทย.

ผู้ประกอบการเปิดแพลตฟอร์มเป็นศูนย์กลางการค้าออนไลน์

กรุงเทพฯ 25 ธ.ค.  SMEsGoPro ประกาศจุดยืนเป็นฮับเพื่อธุรกิจออนไลน์ครบโซลูชั่น นางสาวพิจิตรา เรืองวัฒนไพศาล ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม SMEsGoPro กล่าวว่า วิกฤตโควิด-19 ส่งผลต่อทุกภาคธุรกิจไม่ว่าเล็กใหญ่ ธุรกิจออนไลน์จึงกลายเป็นทางเลือกทางรอดของการสร้างรายได้ รวมถึงกลายเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการ ความท้าทายที่ผู้ประกอบการตั้งแต่เอสเอ็มอีไปจนถึงผู้ค้ารายย่อยต่างเผชิญ  เพื่อให้การเข้าสู่ตลาดออนไลน์ประสบความสำเร็จ จึงพัฒนา แพลตฟอร์ม SMEsGoPro เพื่อคนทำธุรกิจออนไลน์ ด้วยการเป็น Business Solution Platform ที่จะมาเป็น ‘ทุกคำตอบ’ เพื่อคนทำธุรกิจ และผู้อยากริเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ ปลดล็อคทุกปัญหาของธุรกิจ E-Commerce ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สู่การเริ่มต้นสร้างธุรกิจครบวงจรจากงบการลงทุนที่ทุกคนเข้าถึงได้โดยเปิดโอกาสให้เกิดการทำธุรกิจรายย่อยของ SMEs ไทย ตั้งแต่ในระดับ “B2(New)B” ซึ่งจะเป็นคำนิยามของ New Retail สร้างช่องทางการขายออนไลน์แบบใหม่เป็นครั้งแรกในประเทศไทยขึ้นที่ SMEsGoPro ด้วยบริการ 4 โซลูชั่นหลัก ได้แก่1.แหล่งรวมสินค้าราคาผู้ผลิตเพื่อการขายของออนไลน์โดยเฉพาะ (Super Source) 2.กองทัพนักขายออนไลน์ที่ต้องการเข้าถึงสินค้าราคาผู้ผลิต (Power Seller) 3.แหล่งรวมความรู้ดิจิตอลแพลตฟอร์ม (Power Knowledge) ที่จะคัดโปรตัวจริงผู้เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มนั้นๆ มาให้ความรู้จากประสบการณ์จริง 4.ผู้ช่วยระบบบริหารจัดการหลังบ้านครบวงจร (Power Support) “SMEsGoPro คืออีโคซิสเต็ม ของคนทำธุรกิจออนไลน์ที่ครบวงจรที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยทุกโซลูชั่นของแพลตฟอร์มล้วนมาแก้ไขทุกปัญหาที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องเจอ จุดเด่นของเราคือการคัดสรรพันธมิตรมืออาชีพในเรื่องนั้นๆ เพื่อให้ผู้ค้าได้เข้าถึงผู้ผลิตสินค้า องค์ความรู้ และระบบหลังบ้านที่มีคุณภาพ” ในระยะแรก SMEsGoPro พร้อมตอบสนองนักขายออนไลน์ ด้วยหมวดหมู่สินค้าหลักราคาผู้ผลิต, สิทธิพิเศษสำหรับผู้ค้าและผู้ผลิตที่สร้างยอดขาย ตลอดจนสินค้าราคาผู้ผลิตที่ผู้ค้ารายย่อยจะได้เงื่อนไขสุดพิเศษเปรียบเสมือนดีลเลอร์ใหญ่ ภายใต้ดีลการซื้อขายในราคาพิเศษที่หาที่ไหนไม่ได้ โดยเฉพาะการรวมผู้ช่วยบริหารระบบหลังบ้านธุรกิจออนไลน์ครบทุกกระบวนการตั้งแต่ระบบการรวมช่องทางการขาย, ระบบการบริหารจัดการสต็อกที่ชาญฉลาด, ระบบบริหารจัดการออเดอร์, ระบบการจัดส่ง, ระบบการจัดการ Live, ระบบการจัดการ Sale Page จากเหล่าพันธมิตรมืออาชีพ อาทิ Lnw Shop, X-Commerce, Akita, Shippop, Bento Web, Shop Live, Gorilla ideas, Selleed และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายหลักของSMEsGoPro ที่ต้องการให้ผู้สนใจสามารถสร้างธุรกิจผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างง่ายดายและมั่นคง ทั้งนี้หนึ่งไฮไลต์สำคัญ คือ การรวมสุดยอดเทคนิคการขายผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์มปี 2021 จากเหล่า Power Knowledge โปรตัวจริงแต่ละแพลตฟอร์ม เริ่มต้นที่ “โปรไหม” พิจิตรา เรืองวัฒนไพศาล นักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์การขายสินค้าผ่านE-Marketplace ทุกแพลตฟอร์ม ที่เผยกุญแจสำคัญของการขายของบน E-Marketplace (Shopee, Lazada) ด้วยแนวคิดสั้นๆว่า “อย่าสร้างสนามบินหลักเพียงสนามบินเดียว” หมายถึง อย่าใช้แพลตฟอร์มเดียวในการขายสินค้าออนไลน์ “หัวใจสำคัญการขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม E-Marketplace (Shopee, Lazada) คือ 1.ให้ลูกค้าหาเราให้เจอบนแพลตฟอร์ม2.ชวนให้ซื้อ 3.ซื้อให้มากขึ้น 4.ดูแลลูกค้าเก่า ซึ่งทุกขั้นตอนมีวิธีการที่หลากหลายและแตกต่างกันไป” ทั้งนี้กลยุทธ์การเพิ่มยอดขายแบบทวีคูณที่โปรไหมแนะไว้ได้อย่างน่าสนใจ คือ การสร้างร้านค้าใหม่ (บน Shopee, Lazada) แต่ขายสินค้าเดิม เนื่องจาก Shopee, Lazada ไม่มีค่าธรรมเนียนในการสร้างร้านค้าใหม่บนแพลตฟอร์ม ดังนั้นประโยชน์ของกลยุทธ์นี้ จะช่วยสร้างการแข่งขันกับดีลเลอร์, สร้าง Defend Market Share, สร้างมาตรฐานเชิงราคา, สร้างตัวเทียบเคียงในแพลตฟอร์ม เพราะบน E-Marketplace จะมีอัลกอริทึ่มแนะนำสินค้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้ลูกค้าเปรียบเทียบ ทำให้ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อร้านไหน รายได้ก็เข้าร้านเหมือนกัน ส่วนเทคนิคการสู้กับสินค้าจีนที่เข้ามารุก E-Marketplace ว่า เน้นการสร้างแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Product Brand, Shop Brand หรือ Personal Brand โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร้านค้าออนไลน์เติบโตยั่งยืน คือ ความน่าเชื่อ บริการหลังการขายที่ดี เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคการช้อปปิ้งบน E-Marketplace เมื่อเชื่อถือช้อปแบรนด์ใดแล้ว ไม่ว่านำสินค้าอะไรมาขายก็ขายได้ ซึ่งการสร้างความต่างให้การแบรนด์เหล่านี้ มาจากการสร้างคอนเทนต์, แพ็คเกจจิ้ง, ข้อเสนอพิเศษต่างๆ และบริการที่แตกต่างกัน “หมดยุคกับการตั้งราคาสินค้าราคาเดียว (One Price Poicy) เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่ช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์จะหมั่นเปรียบเทียบราคาสินค้าอยู่เสมอ ดังนั้นสินค้าแบบเดียว ผู้ขายควรตั้งช่วงราคาที่มีหลายราคา (Dynamic price) และเลือกใช้แต่ละราคาให้เหมาะสม โดยพิจารณาจากคู่แข่ง, ฤดูกาล และภาวการณ์แข่งขัน “ กฤษฎา โรจนโสภณดิษฐ์ LINE Certified Coach Thailand เผยว่า ปัจจุบัน Line มีบัญชีผู้ใช้มากกว่า 47 ล้านบัญชี โตจากปีที่แล้วจาก 3 ล้านบัญชีเป็น 4 ล้านบัญชี โดยเฉพาะเมื่อ Line มีบริการใหม่เอื้อการขายของออนไลน์ อย่าง LINEMYSHOP ที่สร้างร้านค้าออนไลน์ผ่าน Line ฟรี และ Line Ads Platform สามารถลงโฆษณาผ่าน Line ได้ด้วยตัวเองจากในอดีตที่ต้องผ่านเอเจนซี่ ทำให้การขายสินค้าผ่าน Line มีโอกาสเติบโตอีกมาก-สำนักข่าวไทย.

สหภาพฯกสทร้องนายกฯเลื่อนจดทะเบียนNT

กรุงเทพฯ 24 ธ.ค. สหภาพฯกสท โทรคมนาคม ร้องนายกฯ ขอเลื่อนจดทะเบียนเอ็นที นายสังวรณ์ พุ่มเทียน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (สร.กสท)   กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2563  สร.กสท ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการขอเลื่อนการควบรวมกิจการของ กสท โทรคมนาคม และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ(จำกัด ) มหาชน หรือ เอ็นที ออกไปก่อน จากเดิมที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีแผนจดทะเบียนบริษัทในวันที่ 7 ม.ค. 2564 เป็น เดือนมี.ค. 2564 แทนตามที่กฎหมายกำหนด  ทั้งนี้เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมดำเนินการ แล้วจดทะเบียนการควบรวมกิจการฯ ตามมติรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 14 ม.ค. 2563 เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีแนวทางในการปฏิบัติงานและการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับผู้เกี่ยวข้อง เช่น พนักงาน หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ใช้บริการ เพื่อให้การควบรวมกิจการครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากทุกฝ่าย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเป็นประโยชน์ของประชาชนผู้ใช้บริการ ตามที่ครม.ได้ตั้งเป้าหมายไว้ โดยที่ผ่านมารมว.ดีอีเอส ได้แต่งตั้งคณะทำงานกำหนดนโยบายแนวทาง และติดตามการดำเนินงานเกี่ยวกับการควบกิจการ ซึ่งมีการประชุมเพียง 2 ครั้ง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สร.กสท  เห็นด้วยและสนับสนุนการควบรวมกิจการ เพราะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดการลงทุนซ้ำซ้อนในการดำเนินธุรกิจของทั้งสององค์กร ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินและทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการแข่งขันกันเองให้เป็นหน่วยงานของรัฐในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและความมั่นคง เพื่อตอบสนองนโยบายสำคัญของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน แต่การควบรวมกิจการเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญยิ่ง เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย โดยได้มีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาฯ เข้ามาดำเนินงานในช่วงระยะเวลาที่ จำกัด ซึ่งยังมีอีกหลายประเด็นที่มิได้มีการวิเคราะห์แผนงานและดำเนินการบริหารความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ เช่น โครงสร้างองค์กร, ทิศทางการดำเนินธุรกิจ, การออกแบบระบบบริหารทรัพยากรบุคคลให้สอดคล้องกับโครงสร้าง, สิทธิประโยชน์ และสภาพการจ้างฯ ที่สำคัญยังไม่มีการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่พนักงาน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจและสาธารณชน บุคคลภายนอก ซึ่งตามมติครม. เมื่อวันที่ 14 ม.ค.2563 ระบุว่าต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า สิ่งใดบ้างที่จะเปลี่ยนแปลงและสภาพที่ต้องการให้เกิดขึ้นภายหลังการควบรวมเป็นอย่างไร ก็ยังไม่มีความชัดเจน  สร.กสท จึงมีความกังวลเรื่องโครงสร้าง เอ็นที ตามที่ บริษัทที่ปรึกษากำหนดมา ณ Day 1 คือ มีรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ 18 สายงาน มีผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่มากกว่า 30 คน มีผู้จัดการฝ่ายจำนวน 119 คน และผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายมากกว่า 230 คน ผู้จัดการส่วนประมาณ 2,000 คน  สร.กสท เห็นว่าการกำหนดโครงสร้างองค์กรแบบ N-3 ที่ยังไม่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงสู่กลยุทธ์องค์กร ในการจัดทำแผนธุรกิจ ทั้งในระยะกลางและระยะยาว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรให้สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน มิได้วางแผนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้ชัดเจนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทุกคนในองค์กร รวมถึงการสนับสนุน ส่งเสริมให้พนักงานเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และพิจารณากำหนดแผนการบริหารจัดการบุคคลากรรองรับ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการ ผลการปฏิบัติงานและระบบโครงสร้างเงินเดือน ที่ควรคำนึงถึงเป้าหมาย กลยุทธ์ใหม่และการเชื่อมโยงให้เห็นภาระงานที่ชัดเจนในแต่ละส่วนงานที่มาควบรวมกัน และมุ่งเสริมสร้างวิสัยทัศน์และพันธกิจองค์กรร่วมกันตามมติครม. ปัญหาที่จะเกิดขึ้น คือ โครงสร้างที่มีความซ้ำซ้อน เพิ่มขั้นตอนกระบวนการทำงาน จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและไม่เป็นหนึ่งเดียวในการทำงาน สิ้นเปลืองงบประมาณ เกินความจำเป็น จากเงินประจำตำแหน่ง ไม่มีความชัดเจนในการบริหารทรัพยากรบุคคล เช่น เส้นทางความก้าวหน้า ระบบแรงจูงใจ การประเมินผลการปฏิบัติงาน ระเบียบขั้นตอนการทำงานที่มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการที่สำคัญ คือ ขาดการสื่อสารและการสร้างความสัมพันธ์ของทั้งสององค์กรให้รวมเป็นหนึ่งเดียว ให้สอดคล้องต่อวิสัยทัศน์ และเป็นไปตามนโยบายภาครัฐให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ คือ ประหยัดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์และสภาพการจ้างสร.กสท เห็นว่า บริษัทที่ปรึกษา ต้องมีรายละเอียด และมีความจำเป็นที่พนักงานของทั้งสององค์กร ที่จะถูกโอนย้ายไปยัง เอ็นที ต้องทราบในส่วนของสิทธิประโยชน์และสภาพการจ้างฯ ตามที่รมว.ดีอีเอส  มีนโยบายให้มีการเจรจาสี่ฝ่าย ที่ประกอบไปด้วย กรรมการผู้จัดการใหญ่  กสท โทรคมนาคม และ ทีโอที ผู้แทนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กสท และ ทีโอที ที่ได้มีการประชุมเพียงครั้งเดียว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนจึงไม่สามารถชี้แจงหรือสื่อสารต่อพนักงานได้ -สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสจับมือกสทช.โอเปอเรเตอร์ส่งเอสเอ็มเอสข้อมูลโควิด-19ให้ชาวต่างชาติ

กรุงเทพฯ 23 ธ.ค. ดีอีเอส จับมือ กสทช.-5 ค่ายมือถือส่ง SMS อัพเดทข่าวสารโควิดให้ต่างชาติในไทย นายพุทธิพงษ์  ปุณณกันต์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงภายหลังประชุมร่วมกับนายสุทธิศักดิ์  ตันตะโยธิน รองเลขาธิการสายงานกิจการโทรคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้บริหารบริษัทผู้ให้บริการมือถือทั้ง 5 เครือข่าย ว่า กระทรวงฯ กำหนดแนวทางทางการแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ผ่านบริการเอสเอ็มเอส(SMS) ให้กับชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย และแรงงานต่างด้าว โดยเบื้องต้นจะมีข้อความภาษาอังกฤษ ภาษาเมียนมา และภาษากัมพูชา เพื่อให้เจ้าของภาษาเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง “เนื่องจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยรอบใหม่ โดยเฉพาะในแรงงานต่างชาติทางกระทรวงดิจิทัลฯ กสทช. และโอเปอร์เรเตอร์ จึงหารือแนวทางในการแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสารที่สำคัญไปถึงกลุ่มเป้าหมายข้างต้น ให้ทราบอย่างทั่วถึง เพื่อไม่ให้ตื่นตระหนก” นายพุทธิพงษ์กล่าว นายพุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า ข้อมูลและข้อความจะถูกสื่อสารไปตั้งแต่วันนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้าวความเข้าใจปัจจุบันมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ชาวต่างประเทศใช้งาน แบ่งเป็น ทรู 8 แสนหมายเลข ดีแทค 1 ล้านหมายเลข เอไอเอส9.9 แสนหมายเลข บริษัทกสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) 10,000 หมายเลข และบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) 4,000 หมายเลข รวมหมายเลขของคนต่างประเทศ 2,804,000 หมายเลข โดยกระทรวงฯ ได้ขอความร่วมมือกับชาวต่างชาติที่พำนักในไทย รวมถึงแรงงานต่างด้าว อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ในช่วงนี้ ส่วนกรณีที่แรงงานบางกลุ่มมีข้อกังวล ขอให้ความมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่มีการดำเนินคดีกับแรงงานต่างด้าวแต่อย่างใด หากผู้ใดพบว่าตัวเองมีอาการป่วย แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ หรือโทรสายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค ทั้งนี้ ระบบของกระทรวงสาธารณสุข มีความพร้อมในการช่วยดูแลรักษา ให้ยาเมื่อป่วย และจัดหาอาหาร/น้ำให้ระหว่างการกักตัวตลอด 14 วัน ส่วนการใช้แอปพลิเคชั่นหมอชนะ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ (24ธ.ค.) ตนจะเสนอรายละเอียดการใช้แอปพลิเคชั่นหมอชนะคู่กับไทยชนะในที่ประชุม ศบค. การใช้แอปพลิเคชั่นร่วมกันเพื่อให้ติดตามตัว และติดตามความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้จะมีการรณรงค์ให้แรงงานต่างด้าวใช้งานแอปพลิเคชั่นหมอชนะด้วยเพื่อการติดตามสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ -สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสเล็งเสนอศบค.ใช้แอปหมอชนะคู่ไทยชนะสู้โควิด-19

กรุงเทพฯ 23 ธ.ค. ดีอีเอส เร่งปรับปรุง หมอชนะ สู้โควิด-19 คาดชงที่ประชุมศบค. 24 ธ.ค. นี้  นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงฯอยู่ระหว่างการปรับปรุงแอปพลิเคชั่นหมอชนะ เพื่อเสนอ ให้นำแอปะบิเคชั่นหมอขนะมาใช้ในการติดตาม กลุ่มเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยสิ่งที่ปรับปรุงคือการทำให้รองรับผู้ใช้งานได้มากถึง 10 ล้านคน และปรับปรุงดารเข้าถึงด้วยคิวอาร์โค๊ตเดียวกับแอปพลิเคชั่นไทยชนะ โดยกระทรวงจะเสนอในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ในวันที่ 24 ธ.ค. นี้  หมอชนะ คือ แอปพลิเคชั่น ที่ใช้ติดตามและประเมินความเสี่ยง โควิด-19 เก็บข้อมูลแค่ GPS และ Bluetooth “หมอชนะ” เป็นแอพเก็บข้อมูลการเดินทางของประชาชน เพื่อประเมินความเสี่ยงได้ว่า ในบริเวณนั้นมีผู้ป่วยโควิด-19 หรือไม่ การใช้งานหมอชนะ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การให้ผู้ใช้รายงานความเสี่ยงของตัวเอง และการแจ้งเตือนผู้ใช้หากเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยง ที่มีผู้ติดโควิด-19 การใช้งานประชาชนดาวน์โหลดแอพ “หมอชนะ” บนสมาร์ทโฟน และตอบคำถามประเมินอาการของตัวเอง โดยแอพจะแบ่งระดับของความเสี่ยงเป็น 4 ระดับคือ สีเขียว สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เป็นคนที่ไม่มีอาการ ไม่มีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา สีเหลือง บุคคลที่มีความเสี่ยงน้อย ซอาจจะมีอาการไข้หวัด แต่ไม่มีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา สีส้ม สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยง เพราะเป็นคนที่มีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา แต่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการไม่เด่นชัด คนในกลุ่มนี้ต้องกักตัวอยู่กับบ้านจนครบ 14 วัน พร้อมทั้งเฝ้าระวัง ถ้ามีอาการควรรีบไปโรงพยาบาลทันที และสีแดง สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะทั้งมีอาการ และมีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา จะต้องรีบไปโรงพยาบาลทันทีเมื่อตอบคำถามครบถ้วนแอปจะรายงานพิกัดของผู้ใช้งานเข้าไปในระบบ แต่ผู้ใช้จะไม่สามารถดูได้ว่าผู้ใช้คนอื่นอยู่ที่ไหนทำได้แค่เพียงอนุญาตให้แอพแจ้งเตือนผ่าน notification หากเข้าไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งจะเช็คข้อมูลด้วย GPS และ Bluetooth ของตัวโทรศัพท์มือถือ ความสามารถในการติดตามโลเคชั่นของหมอชนะสามารถคือการแจ้งเตือนบุคคลที่เดินทางไปยังสถานที่เสี่ยง เพราะระยบจะส่งข้อความแจ้งเตือนบุคคลที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หมอชนะจึงแจ้งเตือนได้รวดเร็ว และประเมินความเสี่ยงได้ทันทีสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสโชว์ผลงานสกัดข่าวปลอมตลอดปี63

กรุงเทพฯ 22 ธ.ค. ดีอีเอส สรุปสถิติข่าวปลอมและเว็บ สื่อโซเชียลผิดกฎหมายในรอบปี 63 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงฯ ในการปราบปรามข่าวปลอม และเว็บไซต์/สื่อสังคมออนไลน์ผิดกฎหมายว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย ได้รวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 18 ธันวาคม 2563 พบว่า มีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด 39,209,284 ข้อความ โดยมีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบ 20,829 ข้อความ และหลังจากคัดกรองพบจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 7,420 เรื่อง โดยช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ การสนทนาบนโลกออนไลน์ที่เป็นกระแสเกี่ยวกับข่าวปลอม​ พบจำนวน 38,956,319 ข้อความ คิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 99.35 รองลงมา คือ บัญชีไลน์ทางการ เฟซบุ๊กเพจและเว็บไซต์ทางการของศูนย์ฯ ตามลำดับ ทั้งนี้ เมื่อแยกประเภทข่าวที่ต้องตรวจสอบ 7,420 เรื่อง มากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 56 เป็นข่าวในหมวดสุขภาพ มีจำนวน 4,190 เรื่อง ตามมาด้วยหมวดนโยบายรัฐ 2,809 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 38 หมวดเศรษฐกิจ266 เรื่อง คิดเป็น ร้อยละ 4 และหมวดภัยพิบัติ 155 เรื่อง หรือประมาณ ร้อยละ 2 นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ด้านเพจอาสา จับตา ออนไลน์ มีประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสเว็บ/สื่อสังคมออนไลน์ผิดกฎหมายเข้ามาตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม – 17 ธันวาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 39,300 เรื่อง หรือเฉลี่ยวันละ 280 เรื่อง โดยหลังจากตรวจสอบข้อมูลมีการเก็บหลักฐานนำส่งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและดำเนินการ 16,048 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 41 ส่วนอีก 23,222 เรื่อง หรือร้อยละ 59 การตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบยูอาร์แอล/หลักฐาน โดยสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีการลบโพสต์หรือยูอาร์แอลนั้นไปก่อนแล้วเนื่องจากเกรงกลัวการบังคับใช้กฎหมาย ส่วนที่มีการเก็บหลักฐานและส่งดำเนินการตามกฎหมาย พบว่า เป็นประเภทความผิดด้านความมั่นคง ร้อยละ 42.72 จำนวน6,855 เรื่อง ตามมาด้วย การเมือง ร้อยละ 26.43จำนวน  4,241 เรื่อง, การพนันออนไลน์ ร้อยละ 17.73 จำนวน 2,845 เรื่อง, อื่นๆร้อยละ 10.94 จำนวน 1,756 เรื่อง, การหลอกลวง ร้อยละ  1.19 จำนวน 191 เรื่อง, ข่าวปลอม ร้อยละ 0.63 จำนวน 101 เรื่องและลามก ร้อยละ 0.37 จำนวน 59 เรื่อง สำหรับการแจ้งเตือนแพลตฟอร์มต่างๆ ตามมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้ง จำนวน 8,443 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 5,494 ยูอาร์แอล โดยปิดกั้นแล้ว 3,107 ยูอาร์แอล, ยูทูป 1,755 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 1,722 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 674 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 63 ยูอาร์แอล และอื่นๆ จำนวน 520 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 133 ยูอาร์แอล นอกจากนี้ ที่ผ่านมากระทรวงดีอีเอส รับนโยบายรัฐบาลในการรุกกวาดล้างเครือข่ายการพนันออนไลน์อย่างจริงจัง โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ถึงปัจจุบัน ได้ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เร่งดำเนินการจนสามารถสืบสวน และดำเนินการจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ มีคำสั่งศาลให้ระงับการแพร่หลายข้อมูลการพนันแล้ว จำนวน 1,711 ยูอาร์แอล  ขณะที่ ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ผลการปฏิบัติการปิดกั้นเว็บการพนันออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 17 ธันวาคม 2563 ได้ดำเนินการปิดกั้นแล้ว 299 ยูอาร์แอล จับกุมผู้ต้องหาได้ 143 ราย คิดเป็นมูลค่าเงินหมุนเวียนกว่า 35,000 ล้านบาท นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ในเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2564 ที่จะมาถึงนี้ กระทรวงดีอีเอสชวนให้ 4 หน่วยงานในสังกัดได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา, บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน), บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) จัดเตรียมของขวัญจำนวน 9 โครงการ เพื่อมอบให้กับประชาชน อาทิ บริการแจ้งเตือนภัยธรรมชาติผ่านเอสเอ็มเอส/ข่าวสารอุตุฯ โปรฯฟรีค่าโทรและไวไฟ ส่วนลดเติมเงินมือถือ ส่ง ส.ค.ส. ฟรีทางไปรษณีย์ และส่วนลด ร้อยละ 20 สำหรับการซื้อสินค้าผ่าน www.thailandpostmart.com ครบทุก 500 บาท พร้อมส่งฟรีทั่วไทย -สำนักข่าวไทย.

สตง.นำร่องบอกลากระดาษ

กรุงเทพฯ 21 ธ.ค. สตง. นำร่อง ปี’ 64 บอกลา “กระดาษ” นายประจักษ์  บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวว่า           สตง. มีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการตรวจสอบและในฐานะหน่วยงานตรวจสอบที่ต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปแบบเอกสาร(Paper) จึงได้จัดทำระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถดำเนินการออกเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับงานตรวจสอบผ่านระบบดิจิทัล ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการใช้กระดาษ ในกระบวนการรับ-ส่งเอกสารการตรวจสอบได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ยังช่วยให้มีระบบการจัดเก็บเอกสารหลักฐานการตรวจสอบในรูปแบบที่สามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกับหน่วยรับตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ได้เตรียมความพร้อมในการปรับระบบการทำงานเพื่อสนับสนุนการตรวจรับในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางระบบอาทิ ระบบ Opensource ERP ของ สวทช. ที่มีการอนุมัติทุกขั้นตอนแบบ paperless โดยใช้ e-certificate กำกับในการอนุมัติแต่ละขั้นตอน โดยไม่ต้องลงลายมือชื่อในเอกสารกระดาษหรือเอกสาร pdf  รวมถึงการทำ e-Tax invoice กับกรมสรรพากร  โดยในระยะต่อไปจะเตรียมการปรับเปลี่ยนกระบวนการลงนามสัญญาทั้งหมดให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป    ซึ่งทาง สวทช. คาดหวังว่าจะเป็นตัวอย่างให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ในการปรับรูปแบบการดำเนินงานให้สามารถรับการตรวจด้วยอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสมบูรณ์  การดำเนินการนี้ถือเป็นมิติใหม่ของการใช้ประโยชน์จากข้อมูลดิจิทัลข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถนำไปต่อยอดการปรับปรุงงาน สร้างระบบแนะนำให้กับหน่วยรับตรวจอื่น ๆ และลดความผิดพลาดต่าง ๆ ในการตรวจโดยใช้ เอไอในอนาคตได้ ด้านนายชัยชนะ  มิตรพันธ์  ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เอ็ตด้า กล่าวว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์           พ.ศ. 2544 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) รองรับการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือElectronic Signature :  e-Signatureให้มีผลทางกฎหมาย เช่นเดียวกับการลงลายมือชื่อบนเอกสารกระดาษ โดยสิ่งสำคัญของการลงลายมือชื่อ คือ การทำให้เกิดหลักฐานที่สามารถระบุตัวเจ้าของลายมือชื่อ และสามารถแสดงเจตนาของเจ้าของลายมือชื่อเกี่ยวกับข้อความที่ตนเอง ลงลายมือชื่อได้ ทั้งนี้ บุคคลจะมีวัตถุประสงค์หรือเหตุผลของการลงลายมือชื่อที่แตกต่างกันตามการทำธุรกรรมแต่ละประเภท เช่น การอนุมัติเห็นชอบ หรือยอมรับข้อความ เช่น การลงลายมือชื่อเพื่อยอมรับข้อกำหนดที่ปรากฏในสัญญา , การรับรองหรือยืนยันความถูกต้องของข้อความ เช่น การลงลายมือชื่อเพื่อรับรองว่าข้อความในแบบแสดง รายการภาษีเงินได้เป็นรายการที่ถูกต้องสมบูรณ์และเป็นความจริง , การตอบแจ้งการเข้าถึงหรือการรับข้อความ (acknowledgement) เช่น การลงลายมือชื่อเพื่อตอบแจ้ง การรับเอกสารและการเป็นพยานให้กับการลงลายมือชื่อหรือการทำธุรกรรมของบุคคลอื่น เช่น การลงลายมือชื่อเพื่อรับรองเอกสารหรือรับรองลายมือชื่อ (notarization) สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ ETDA จะเข้าไปศึกษารายละเอียดของกระบวนการตรวจสอบเรื่องของเอกสารทางการเงินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ให้เป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยดำเนินการร่วมกับหน่วยรับตรวจ คือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. โดยมีแนวทางการปรับปรุงกระบวนการให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์จากรูปแบบเดิม คือการออกเอกสารที่มีการจัดเตรียมผ่านโปรแกรมสำนักงาน และทำการพิมพ์เอกสารออกมาเพื่อลงนามด้วยปากกา โดยได้วางแผนไว้ 2 ช่วง ช่วงแรกที่เป็นแผนระยะสั้น หรือ Quick Win solution นั้น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะเริ่มเปลี่ยนการตรวจจากเดิม เป็นการตรวจบนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการตรวจผ่านระบบของหน่วยรับตรวจ และลงนามบนไฟล์เอกสาร PDF ผ่านโปรแกรมจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดย ETDA ให้การสนับสนุนใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Certificate) เพื่อใช้ในการลงลายมือชื่อ ซึ่งจะดำเนินการได้หลังจากเปิดปีใหม่ หรือ มกราคม 2564 “สตง. แม้ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่บริการประชาชนโดยตรง แต่เป็นกรณีตัวอย่าง ที่หนึ่งในหน่วยงานตรวจสอบหลักของภาครัฐ เต็มใจจะก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน เพื่อเป็นหน่วยงานนำร่องในการปรับเปลี่ยนกระบวนการให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์และตัวอย่างให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐหลายๆ หน่วยก็เริ่ม และพยายามลด ละ เลิกใช้กระดาษ เช่น กระทรวงมหาดไทยมีการยกเลิกใช้สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านในการไปติดต่อราชการ กรมสรรพากรมีใช้ระบบ e-Tax Invoice ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการออกใบกำกับภาษี หรือกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมก็มีการใช้ Digital Transcript เพื่ออำนวยความสะดวกให้นิสิต นักศึกษา96 ส่วนแผนระยะยาว หรือ Long term solution สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จะจัดเตรียมระบบการออกเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่สอดคล้องกับึึึกระบวนการทำงาน ทั้งการสร้างเอกสารในรูปแบบ PDF/A-3 ซึ่งเป็น PDF ที่เพิ่มการเก็บคุณลักษณะต่างๆ ของไฟล์ เช่น ฟอนท์, สี ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ในตัวเอง และสามารถคงรูปแบบหน้าตาดั้งเดิมของเอกสารไว้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเพิ่มเติม ไม่ว่าจากโปรแกรม หรือระบบปฏิบัติการในการเรียกดูเอกสาร และรองรับการแนบไฟล์เพิ่มเข้ามาใน PDF เพื่อให้สามารถนำไฟล์แนบนั้นไปประมวลผลต่อได้ และปรับรูปแบบให้เป็นอัตโนมัติ เช่น ขั้นตอนการทำงาน (Workflow) เพื่อส่งต่อเอกสารไปยังผู้ลงนามลำดับถัดไป  และออกหมายเลขเอกสารแบบอัตโนมัติ โดย ETDA ให้การสนับสนุน วิธีการจัดทำเอกสารอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการใช้งานระยะยาว (PDF/A-3) รวมไปถึงการออกแบบ XML schema สำหรับเอกสารที่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบเอกสารการเงิน และเมื่อมีระบบรองรับแล้ว สตง. และ สวทช. สามารถนำข้อมูลที่อยู่ใน XML File ซึ่งแนบอยู่ใน PDF/A-3 ไปประมวลผลต่อยอด เพื่อการทำงานที่ถูกต้อง แม่นยำ ในเวลาที่ลดลงได้-สำนักข่าวไทย.

กรมที่ดินเปิด15ฟังก์ชั่นแอปสมาร์ทแลนด์

กรุงเทพฯ 21 ธ.ค. SMARTLANDS แอปพลิเคชั่น : ครบเครื่องเรื่องที่ดิน เนื่องจากมีประชาชนเข้ามาติดต่อทำธุรกรรมกับสำนักงานที่ดินปีหนึ่งประมาณ 13 ล้านครั้ง และปรึกษาหารือเดือนละประมาณ 30,000 ครั้งต่อปี กรมที่ดินจึงมุ่งมั่นพัฒนางานบริการอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือนำพาความสะดวกสบายสู่ประชาชนในการรับทราบข้อมูลข่าวสารและการให้บริการของกรมที่ดิน  ล่าสุดนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวว่า พัฒนา Moblile Application  ภายใต้ชื่อ “SmartLands”  ที่รวบรวมช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและบริการของกรมที่ดินไว้ที่จุดเดียว (Department of Lands Portal : DOL Portal) โดยการรวบรวมการให้บริการด้านที่ดินต่าง ๆ ไว้ในแอปพลิเคชันเดียว เพื่ออำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ที่สำคัญสามารถตอบสนองการใช้ชีวิตวิถีใหม่ตามแนวทาง New Normal ปัจจุบัน แอปพลิเคชัน “SMARTLANDS” ให้บริการแล้ว 15 ด้าน คือ สารานุกรมที่ดิน ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจด้านที่ดินที่สำคัญและจำเป็นสำหรับประชาชน , การนัดจดทะเบียนล่วงหน้า ในการทำธุรกรรมด้านที่ดินกับสำนักงานที่ดินทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มบริการในช่วงเดือนธันวาคม2563 , LandsMaps การค้นหารูปแปลงที่ดิน ที่มีรายละเอียดโฉนดที่ดิน 33 ล้านแปลง ซึ่งมีผู้ใช้บริการในปี 2563 ถึง 17 ล้านครั้ง , การตรวจสอบราคาประเมินที่ดินประจำปีของกรมธนารักษ์ , การค้นหาที่ตั้งสำนักงานที่ดิน ทั้ง 463 แห่งทั่วประเทศ  , การคำนวณภาษีอากรและค่าธรรมเนียมที่ดินประเภทต่างๆ เพื่อเตรียมการ , ขั้นตอนการทำธุรกรรมที่ดิน , การค้นหาข้อมูลนิติบุคคลจัดสรรที่ดินอาคารชุด , การค้นหาประกาศที่ดิน (e-LandsAnnouncement) เพื่อรักษาสิทธิ์ในที่ดินของประชาชนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต , การเข้าถึงเว็บไซต์กรมที่ดิน , การร้องทุกข์-ร้องเรียน ผ่านระบบ e-Contact DC , การติดต่อกรมที่ดินผ่าน LINE : @teedin ของแต่ละสำนักงานที่ดินเพื่อปรึกษาหารือ ติดตามงานที่ยังไม่แล่วเสร็จในวันเดียว, ข่าวการจัดซื้อ-จัดจ้าง ของกรมที่ดิน, ระบบถาม-ตอบ ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับที่ดิน , การตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการรังวัดทั่วประเทศที่มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันในแต่ละจังหวัด สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “SMARTLANDS” มาใช้งานได้แล้ววันนี้ ดาวน์โหลดฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งในโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) และระบบปฏิบัติการ iOS-สำนักข่าวไทย.

1 2 3 4 2,829
...