ค่าไฟฟ้างวดใหม่แตะ 5 บาท ดีเซลสัปดาห์นี้คง 35 บาท

กรุงเทพฯ 11 ก.ค.-ค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ กกพ.จัดรับฟังความเห็น 3 ราคาเป็นครั้งแรก ต้นทุนกระฉูดส่งผลค่าไฟฟ้าเฉลี่ยนิวไฮเป็น 5 บาท/หน่วย ตามต้นทุน บาทอ่อนและ LNG ราคาพุ่ง ด้านกระทรวงพลังงานเตรียมแนวทางช่วยผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วย/เดือน ราคาไม่ขยับขึ้น ด้าน กฟผ.แจงแบกรับค่าเอฟทีต่อไม่ไหว หลังช่วย 3 รอบ หนี้แตะแสนล้านบาท ส่วนดีเซลคงราคา 35 บาท สัปดาห์นี้ หนี้กองทุนน้ำมันเกิน 1.1 แสนล้านบาท


คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมจัดรับฟังความเห็นประชาชนเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติหรือเอฟทีงวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค.65) โดยนับเป็นครั้งแรกของประเทศที่เปิดรับฟังให้ประชาชนร่วมคิดเห็นทางเลือกค่าไฟฟ้าเอฟที 3 ราคา จากเดิมที่จะมีการสรุปค่าเอฟทีเพียงราคาเดียว โดยทางเลือก 3 ราคานี้ แนวคิดหลักคือ คำนวณจากการประมาณการเฉพาะต้นทุนเชื้อเพลิงในงวดใหม่ และการใช้หนี้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่ได้ดำเนินตามนโยบายรัฐบาลในการช่วยรับภาระค่าเอฟที เพื่อลดผลประทบค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนตั้งแต่งวด ก.ย.-ธ.ค.64 จนถึงงวดปัจจุบัน (พ.ค.-ส.ค.65) เป็นวงเงินรวม 1 แสนล้านบาทแล้ว โดย กฟผ.แจ้งว่า มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และไม่สามารถเข้าร่วมรับภาระค่าเอฟทีในงวดใหม่นี้ได้อีกแล้ว และขอความเห็นจาก กกพ. ว่าจะทยอยชำระหนี้อย่างไร

กกพ.จึงวางแผนจะทยอยคืนหนี้ เป็นเวลา 1-2 ปี ดังนั้น อัตราค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค.65)ที่จะรับฟังความเห็นจากประชาชน จึงมี 3 ราคา ประกอบไปด้วย


1.การขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริง ค่าเอฟทีเรียกเก็บจะอยู่ที่ 93.43 สตางค์/หน่วย ขึ้นจากงวดที่แล้ว (พ.ค.-ส.ค.65) 68.66 สตางค์/หน่วย

2.การขึ้นตามต้นทุนแท้จริง และมีการทยอยคืนเงินแก่ กฟผ. วงเงินเบื้องต้น 83,010 ล้านบาท เป็นเวลา 1 ปี (ทยอยปรับในค่าเอฟที 3 งวด งวดละ 45.70 สตางค์/หน่วย) ทำให้ค่าเอฟทีงวดนี้เรียกเก็บ 139.13 สตางค์/หน่วย เพิ่มขึ้นจากงวดที่แล้ว (พ.ค.-ส.ค.65) 114.36 สตางค์/หน่วย

3.การขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริง และทยอยคืนเงินแก่ กฟผ. วงเงินเบื้องต้น 83,010 ล้านบาท เป็นเวลา 2 ปี (ทยอยปรับในค่าเอฟที 6 งวด งวดละ 22.85 สตางค์/หน่วย) ทำให้ค่าเอฟทีงวดนี้เรียกเก็บ 116.28 สตางค์/หน่วย เพิ่มขึ้นจากงวดที่แล้ว (พ.ค.-ส.ค.65) 91.51 สตางค์/หน่วย


อย่างไรก็ตาม นโยบายของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน จะดูแลกลุ่มประชาชนให้เดือดร้อนน้อยที่สุด โดยระบุก่อนหน้านี้ว่า กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300-500 หน่วย/เดือน ค่าไฟฟ้าเอฟทีอาจจะไม่ปรับเพิ่มขึ้น โดย กกพ.มีการคำนวณเบื้องต้น กลุ่มนี้มีประมาณร้อยละ 25 ของผู้ใช้ไฟฟ้าโดยรวม หากคิดในอัตราที่ไม่ขึ้นค่าเอฟที สำหรับงวดที่ 3/65 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดที่ 2/65 ก็จะใช้วงเงินจากภาครัฐมาอุดหนุนราว 8 พันล้านบาท แต่ หากรัฐบาลจะมีนโยบายให้ค่าเอฟทีกลุ่มนี้ เทียบเท่ากับเอฟที งวด 1/65 วงเงินอุดหนุนก็จะมากกว่านี้

ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าเอฟที งวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 มีการเรียกเก็บที่ 24.77 สตางค์/หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์/หน่วย และเมื่อรวมกับค่าไฟฟ้ากับค่าไฟฟ้าฐาน 3.76 บาท/หน่วย จะทำให้อัตราค่าไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 4 บาท/หน่วย (เพิ่มจากงวดก่อน (ม.ค.-เม.ย.65) ที่อัตราค่าไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 3.78 บาท/หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 5.82%) ดังนั้น ค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค.65) เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานแล้ว คาดว่าจะสร้างสถิติสูงสุดที่ประมาณ 5 บาท/หน่วย

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ต้นทุนค่าเอฟทีที่แพงขึ้น มาทั้งจากปัจจัยเชื้อเพลิงราคาสูง และบาทอ่อนค่า โดยเชื้อเพลิงราคาสูงก็มาจากสถานการณ์ทั้งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยไม่เพียงพอ เกิดจากแหล่งเอราวัณผลิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้ต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) นำเข้าสูง จากเดิมสัดส่วนร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 35 ในขณะที่สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็มีผลทำให้แอลเอ็นจีราคาพุ่งอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ต้นทุนเชื้อเพลิงให้สูงขึ้น

ที่ผ่านมา กฟผ.ร่วมรับภาระค่าไฟฟ้ากับประชาชนตามแนวทางบริหารค่าไฟฟ้า ตั้งแต่งวด 3/64 (ก.ย.-ธ.ค.64) และร่วมรับภาระเรื่อยมาในงวด 1/65 (ม.ค.-เม.ย.) และงวด 2/65 (พ.ค.-ส.ค.) เป็นเงินรวมกับอัตราดอกเบี้ยที่กู้เสริมสภาพคล่อง แล้วราว 1 แสนล้านบาท กฟผ.จึงได้แจ้งต่อ กกพ.ไม่สามารถร่วมรับภาระในเอฟที งวด3/65 ได้อีก ส่วนการชำระคืนเงินแก่ กฟผ. ก็แล้วแต่ กกพ.พิจารณาว่าจะกำหนดช่วงเวลาคืน 1 ปี หรือ 2 ปี โดยที่ผ่านมา ทางกระทรวงพลังงาน และ กกพ. ต่างร่วมพิจารณากันว่า การให้ กฟผ.มาร่วมรับภาระก่อนและจ่ายคืนเงินให้ กฟผ.ภายหลัง จะเป็นการร่วมลดภาระค่าเอฟทีแก่ประชาชน ซึ่งเกิดในช่วงต้นทุนเชื้อเพลิงเริ่มแพงขึ้นในช่วงราคาพลังงานฟื้นตัวจากโควิด-19 ในงวด 3/64 แล้ว หลังจากนั้นคาดว่าเมื่อต้นทุนเชื้อเพลิงถูกลงแล้วจะมาทยอยชำระคืนแก่ กฟผ.ภายหลัง แต่เมื่อสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนเกิดขึ้น ราคาก็ไม่เป็นไปตามคาดการณ์แต่อย่างใด

“วงเงินช่วยเหลือเอฟที 1 แสนล้านบาท ก็มีผลต่อสภาพคล่องของ กฟผ. เช่น ทำให้ที่ผ่านมาไม่สามารถนำเข้าแอลเอ็นจีตามแผนงานได้ และมีผลกระทบด้านอื่นๆ แต่ยืนยันไม่กระทบต่อการลงทุนโรงไฟฟ้าและสายส่งเพื่อความมั่นคงพลังงานของประเทศ รวมทั้งไม่กระทบต่อเงินเดือนของพนักงานแต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมา กฟผ.กู้เสริมสภาพคล่องไปแล้ว 2.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มเครดิตไลน์ 3 หมื่นล้านบาท และจะกู้เพิ่มอีก 8.5 หมื่นล้านบาท โดย กฟผ.ก็อยากร่วมรับภาระค่าเอฟทีแก่ประชาชน แต่ก็คงไม่สามารถทำได้มากกว่านี้ ซึ่งต้องเข้าใจว่าเป็นสถานการณ์โลก และแนวทางของรัฐบาล คือ หากประชาชนร่วมประหยัดไฟฟ้ามากที่สุด ก็จะทำให้พึ่งพาแอลเอ็นจีนำเข้าน้อยที่สุด เป็นผลดีต่อค่าไฟฟ้าเอฟที” นายบุญญนิตย์ กล่าว

ด้านคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ซึ่งมี รมว.พลังงาน เป็นประธาน วันนี้ (11 ก.ค.) มีมติไม่เปลี่ยนแปลงราคาดีเซลรายสัปดาห์ คงอยู่ที่ประมาณ 35 บาท/ลิตร และยังคงขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมัน คงค่าการตลาดดีเซลไม่เกิน 1.40 บาท/ลิตร ในขณะที่การอุดหนุนทั้งดีเซลและก๊าซหุงต้ม ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 10 ก.ค.65 มีฐานะสุทธิติดลบ 110,917 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 72,534 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ติดลบ 38,383 ล้านบาท ซึ่งกองทุนอุดหนุนราคาดีเซลอยู่ที่ 3.06 บาท/ลิตร จากราคาจริงควรอยู่ที่ 38 บาท/ลิตร.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย