3 ประเทศขานรับเร่งปรับใช้รองรับ “e-Form D”แบบอิเล็กทรอนิกส์

นนทบุรี 19 ก.ค.-3 ประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว- กัมพูชา-เมียนมาขานรับเร่งปรับหันมาใช้รองรับ “e-Form D” เต็มรูปแบบในการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้กรอบอาเซียน เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าผ่านแบบอิเล็กทรอนิกส์ ย้ำ 3 ประเทศกำลังเร่งดำเนินการคาดอนาคตเอกชนจะได้รับความสะดวกการค้าเพิ่มมากขึ้น


นายกีรติ รัชโน

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าการประชุมคณะอนุกรรมการเขตการค้าเสรีครั้งที่ 3/2564 เมื่อไม่นานมานี้ ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในฐานะตัวแทนภาคเอกชนได้แจ้งปัญหาเกี่ยวกับความไม่พร้อมเรื่องระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ สปป. ลาว กัมพูชาและเมียนมา โดยเฉพาะด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ที่ยังไม่รองรับการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ “e-Form D” ซึ่งเป็นระบบการส่งข้อมูลหนังสือรับรองฯ แบบไร้เอกสาร (paperless) ได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยบางด่านศุลกากรของ 3 ประเทศดังกล่าวยังมีการร้องขอให้ยื่นเอกสาร Form D แบบกระดาษ ควบคู่กับการส่งข้อมูล e-Form D ในระบบ ในการขอใช้สิทธิพิเศษลดหย่อนอากรขาเข้าภายใต้กรอบอาเซียน โดย Form D แบบกระดาษ จะต้องถูกส่งไปตรวจอนุมัติการให้สิทธิฯ ที่เมืองหลวงหรือส่วนกลางประเทศนั้น ๆ 


ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจรับทราบว่าผู้ประกอบการไทยประสบปัญหาในการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีดังกล่าว ในฐานะหน่วยงานออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าให้ผู้ประกอบการนำไปใช้สิทธิฯ และผู้แทนไทยในการประชุมคณะอนุกรรมการความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (SC-AROO) ได้ทำงานร่วมกับกรมศุลกากร หยิบยกประเด็นขึ้นหารือในที่ประชุมของเจ้าหน้าที่อาเซียน 10 ประเทศ ในการประชุม SC-AROO ครั้งที่ 36 เมื่อวันที่ 21 – 23 มิถุนายน 2564 ผ่านระบบประชุมทางไกล โดยได้เรียกร้องให้ สปป.ลาว เมียนมา และกัมพูชา เร่งปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้สามารถใช้ e-Form D ได้ในทุกด่านและยกเลิกการขอ Form D แบบกระดาษ ควบคู่ e-Form D โดยเร็ว และได้ขอให้เร่งดำเนินการอนุมัติการใช้สิทธิฯ ได้ที่ด่านศุลกากร ณ ด่านชายแดน ในกรณีที่ต้องใช้ Form D แบบกระดาษ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและส่งเสริมการค้าระหว่างกัน 

อย่างไรก็ตาม โดยล่าสุด กรมฯ ได้รับแจ้งข่าวดีจาก สปป.ลาว ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา สปป.ลาว สามารถใช้ e-form D ได้เต็มรูปแบบแล้ว โดยได้ยกเลิกการขอ Form D แบบกระดาษ ควบคู่กับการใช้ e-Form D ในการรับสิทธิพิเศษภายใต้กรอบอาเซียนตามที่ฝ่ายไทยเรียกร้อง ซึ่งการใช้ e-form D ได้เต็มรูปแบบจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถใช้สิทธิฯ ส่งออกไป สปป.ลาว ได้คล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน ขณะที่ผู้แทนกัมพูชาแจ้งว่า สามารถรับ e-Form D ได้ทุกด่านแล้ว สำหรับการใช้ Form D แบบกระดาษ กัมพูชาจะเร่งอนุมัติการใช้สิทธิฯ ณ ด่านศุลกากรชายแดนให้เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันได้อนุญาตให้เฉพาะผู้นำเข้าบางส่วนเท่านั้นที่สามารถใช้สิทธิฯ ณ ด่านศุลกากรชายแดนได้ทันที ส่วนรายอื่น ๆ ยังคงต้องส่งไปให้ส่วนกลางอนุมัติ ซึ่งศุลกากรกัมพูชาได้พิจารณาจากประวัติของผู้นำเข้าเป็นหลัก 

ขณะที่ผู้แทนเมียนมาแจ้งว่า เมียนมายังคงสามารถรับ e-Form D ได้เพียง 2 ด่าน คือ ย่างกุ้ง และติลาวา แต่จะเร่งพัฒนาระบบให้สามารถรองรับ e-Form D ในด่านสำคัญที่เป็น International Ports ที่เหลืออีก 6 ด่าน โดยคาดว่าภายในปี 2565 ผู้นำเข้าสามารถใช้ Form D แบบกระดาษในการขอรับสิทธิฯ ณ ด่านศุลกากรชายแดนได้ทุกด่าน โดยไม่ต้องส่งไปให้ส่วนกลางอนุมัติ 


ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศยินดีสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการส่งออก ดังนั้น ขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการหันมาใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้กรอบการค้าเสรี ซึ่งเป็นแต้มต่อที่จะสร้างโอกาสในการค้าขายและส่งออก โดยเฉพาะตลาดเพื่อนบ้านที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญไปยัง 3 ประเทศ ได้แก่ ยานยนต์เพื่อขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน น้ำที่ปรุงกลิ่นรสหรือเติมน้ำตาลหรือสารทำให้หวาน อาหารปรุงแต่งอื่น ๆ ชุดสายไฟจุดระเบิดและชุดสายไฟชนิดที่ใช้กับยานบก อากาศยานหรือเรือ ผ้าอนามัยและผ้าอ้อมสำหรับเด็กอ่อน และพอร์ตแลนด์ซีเมนต์และอื่นๆเป็นต้น.-สำนักข่าวไทย

เปิดเผยว่าการประชุมคณะอนุกรรมการเขตการค้าเสรีครั้งที่ 3/2564 เมื่อไม่นานมานี้ ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในฐานะตัวแทนภาคเอกชนได้แจ้งปัญหาเกี่ยวกับความไม่พร้อมเรื่องระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ สปป. ลาว กัมพูชาและเมียนมา โดยเฉพาะด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ที่ยังไม่รองรับการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ “e-Form D” ซึ่งเป็นระบบการส่งข้อมูลหนังสือรับรองฯ แบบไร้เอกสาร (paperless) ได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยบางด่านศุลกากรของ 3 ประเทศดังกล่าวยังมีการร้องขอให้ยื่นเอกสาร Form D แบบกระดาษ ควบคู่กับการส่งข้อมูล e-Form D ในระบบ ในการขอใช้สิทธิพิเศษลดหย่อนอากรขาเข้าภายใต้กรอบอาเซียน โดย Form D แบบกระดาษ จะต้องถูกส่งไปตรวจอนุมัติการให้สิทธิฯ ที่เมืองหลวงหรือส่วนกลางประเทศนั้นๆ 

ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจรับทราบว่าผู้ประกอบการไทยประสบปัญหาในการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีดังกล่าว ในฐานะหน่วยงานออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าให้ผู้ประกอบการนำไปใช้สิทธิฯ และผู้แทนไทยในการประชุมคณะอนุกรรมการความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (SC-AROO) ได้ทำงานร่วมกับกรมศุลกากร หยิบยกประเด็นขึ้นหารือในที่ประชุมของเจ้าหน้าที่อาเซียน 10 ประเทศ ในการประชุม SC-AROO ครั้งที่ 36 เมื่อวันที่ 21 – 23 มิถุนายน 2564 ผ่านระบบประชุมทางไกล โดยได้เรียกร้องให้ สปป.ลาว เมียนมา และกัมพูชา เร่งปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้สามารถใช้ e-Form D ได้ในทุกด่านและยกเลิกการขอ Form D แบบกระดาษ ควบคู่ e-Form D โดยเร็ว และได้ขอให้เร่งดำเนินการอนุมัติการใช้สิทธิฯ ได้ที่ด่านศุลกากร ณ ด่านชายแดน ในกรณีที่ต้องใช้ Form D แบบกระดาษ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและส่งเสริมการค้าระหว่างกัน 

อย่างไรก็ตาม โดยล่าสุด กรมฯ ได้รับแจ้งข่าวดีจาก สปป.ลาว ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา สปป.ลาว สามารถใช้ e-form D ได้เต็มรูปแบบแล้ว โดยได้ยกเลิกการขอ Form D แบบกระดาษ ควบคู่กับการใช้ e-Form D ในการรับสิทธิพิเศษภายใต้กรอบอาเซียนตามที่ฝ่ายไทยเรียกร้อง ซึ่งการใช้ e-form D ได้เต็มรูปแบบจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถใช้สิทธิฯ ส่งออกไป สปป.ลาว ได้คล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน ขณะที่ผู้แทนกัมพูชาแจ้งว่า สามารถรับ e-Form D ได้ทุกด่านแล้ว สำหรับการใช้ Form D แบบกระดาษ กัมพูชาจะเร่งอนุมัติการใช้สิทธิฯ ณ ด่านศุลกากรชายแดนให้เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันได้อนุญาตให้เฉพาะผู้นำเข้าบางส่วนเท่านั้นที่สามารถใช้สิทธิฯ ณ ด่านศุลกากรชายแดนได้ทันที ส่วนรายอื่น ๆ ยังคงต้องส่งไปให้ส่วนกลางอนุมัติ ซึ่งศุลกากรกัมพูชาได้พิจารณาจากประวัติของผู้นำเข้าเป็นหลัก 

ขณะที่ผู้แทนเมียนมาแจ้งว่า เมียนมายังคงสามารถรับ e-Form D ได้เพียง 2 ด่าน คือ ย่างกุ้ง และติลาวา แต่จะเร่งพัฒนาระบบให้สามารถรองรับ e-Form D ในด่านสำคัญที่เป็น International Ports ที่เหลืออีก 6 ด่าน โดยคาดว่าภายในปี 2565 ผู้นำเข้าสามารถใช้ Form D แบบกระดาษในการขอรับสิทธิฯ ณ ด่านศุลกากรชายแดนได้ทุกด่าน โดยไม่ต้องส่งไปให้ส่วนกลางอนุมัติ 

ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศยินดีสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการส่งออก ดังนั้น ขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการหันมาใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้กรอบการค้าเสรี ซึ่งเป็นแต้มต่อที่จะสร้างโอกาสในการค้าขายและส่งออก โดยเฉพาะตลาดเพื่อนบ้านที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญไปยัง 3 ประเทศ ได้แก่ ยานยนต์เพื่อขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน น้ำที่ปรุงกลิ่นรสหรือเติมน้ำตาลหรือสารทำให้หวาน อาหารปรุงแต่งอื่น ๆ ชุดสายไฟจุดระเบิดและชุดสายไฟชนิดที่ใช้กับยานบก อากาศยานหรือเรือ ผ้าอนามัยและผ้าอ้อมสำหรับเด็กอ่อน และพอร์ตแลนด์ซีเมนต์และอื่นๆ เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

ประชุมความร่วมมือไทย-กัมพูชา ปราบสแกมเมอร์

สระแก้ว 16 ก.ย.-วันนี้ที่จังหวัดสระแก้ว มีการประชุมสำคัญระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อหวังแนวทางร่วมมือในการปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสแกมเมอร์.-สำนักข่าวไทย

ผู้ค้าทองคำเสนอตั้งเคลียริ่งเฮาส์ ค้านเก็บภาษีเทรดทอง

กรุงเทพฯ 16 ก.ย. – ราคาทองคำนิวไฮตามตลาดโลก การค้าทองคึกคัก ผู้ค้าทองคำค้านแนวคิดภาครัฐเก็บภาษีเทรดทองคำออนไลน์ เพื่อป้องกันบาทแข็งค่า ระบุถอยหลังเข้าคลอง ทำลายการค้า เสนอ ธปท. “ตั้งเคลียริ่งเฮาส์-ปรับสูตรดูแลค่าเงิน” นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) กล่าวว่า ในการประชุมระหว่างผู้ค้าทองคำและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วานนี้ ทาง ธปท.มีการสอบถามความเห็นเรื่อง การที่กระทรวงการคลังอาจออกมาตรการเก็บภาษีในการซื้อ-ขายทองคำ โดยเฉพาะธุรกรรมออนไลน์และมีการชำระเป็นเงินบาท เพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท ซึ่งทางผู้ค้าทองคำ คัดค้านเพราะจะกระทบต่อการค้าทองคำในองค์รวมของทั้งในและต่างประเทศ ทำลายระบบเศรษฐกิจ โดยในขณะนี้การค้าทองคำทั้งในและต่างประเทศแต่ละปีมีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท/ปี และความนิยมเทรดระบบออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจดิจิทัล ตอบสนองนพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ที่นิยมเทรดออนไลน์ทั้งผ่านแอปฯ ต่างๆ และเทรดผ่าน Gold Futures ตลาด TFEX ซึ่งเป็นการเทรดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำภายในประเทศ โดยยอดเทรดเติบโตอย่างมากราว 9-20 ตัน/วัน หรือ 20,000-35,000 สัญญาต่อวัน […]

รอลุ้นโฉมหน้า ครม.อนุทิน 1 คาดช้าสุดทูลเกล้าฯ พรุ่งนี้

พรรคภูมิใจไทย 16 ก.ย.-รอลุ้นโฉมหน้า ครม.อนุทิน 1 คาดช้าสุดทูลเกล้าฯ พรุ่งนี้ หลังนายกฯ ลั่นเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีอนุทิน 1 คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วสุดในเย็นวันนี้ (16 ก.ย.) หรืออย่างช้าวันพรุ่งนี้ (17 ก.ย.) ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขณะที่บรรยากาศพรรคภูมิใจไทยในช่วงเช้าวันนี้ยังคงเงียบเหงา มีแกนนำพรรคเดินทางเข้าที่ทำการพรรค อาทิ นายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เบื้องต้นยังไม่มีกำหนดการเดินทางเข้าพรรคในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายอนุทิน ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ไว้ว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจะสามารถทูลเกล้าฯ ถลายได้ภายในสัปดาห์นี้.-สำนักข่าวไทย

เตือนภาวะน้ำทะเลหนุนสูง 17-22 ก.ย.

กรุงเทพฯ 16 ก.ย.-สทนช. ออกประกาศเตือน เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง 17-22 ก.ย.นี้ คาดระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียงจะสูงกว่าจุดวิกฤติ 0.20 เมตร เสี่ยงน้ำเอ่อล้นริมเจ้าพระยา-ท่าจีน-แม่กลอง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกประกาศเตือน เรื่อง “เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง” เตือนประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ให้เฝ้าระวังระดับน้ำเอ่อล้นตลิ่ง ระหว่างวันที่ 17–22 กันยายน 2568 ในช่วงเวลา 16.00–19.00 น. ของแต่ละวัน โดยเฉพาะพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราว ซึ่งยังไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร หรือที่เรียกว่า “แนวฟันหลอ” นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสทนช. กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ร่วมกับกรมอุทกศาสตร์ คาดว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูง โดยระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียงอาจสูงถึง 1.70–1.90 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำวิกฤติประมาณ 0.20 เมตร ปัจจัยที่ส่งผลต่อการหนุนสูงของน้ำทะเลในช่วงนี้ได้แก่ ร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทย ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังปานกลาง ซึ่งยังคงพัดปกคลุมประเทศไทยและบริเวณอ่าวไทย ส่งผลให้บางพื้นที่ยังคงมีฝนตก และเมื่อรวมกับปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุน จะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น เกิดน้ำเอ่อล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำริมน้ำ พื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ […]