รัฐสภา 29 ก.ค.- “พล.อ.เกรียงไกร” ยืดอก มั่นใจ “กองทัพไทย” ตรึงพื้นที่สำคัญได้ ชี้ภูมะเขือ – ปราสาทตาควาย จุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ทหาร ต้องชิงความได้เปรียบ บอกสู้รบย่อมมีสูญเสีย แต่ต้องไม่เสียเปล่า มองเจรจาไทย – กัมพูชามีสัญญาณบวก หวังสถานการณ์ดีขึ้น พร้อมจี้รัฐทบทวน MOU 43 – 44
พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา และอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ตรวจเยี่ยม และให้กำลังใจสมาชิกวุฒิสภา และข้าราชการสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งมาบริจาคเลือด เพื่อช่วยเหลือให้ผู้ประสบเหตุในสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย – กัมพูชา พร้อมกล่าวว่า ได้มีการประสานงานจากสถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ทหารบก เพื่อเข้ามารับบริจาคเลือด แม้ขณะนี้สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยรับบริจาคโดยตรง จะมีการเปิดรับบริจาคเลือดอยู่แล้ว แต่ในสถานการณ์ขณะนี้ ที่ยังมีปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ชายแดนที่ยังมีต่อเนื่อง
ซึ่งถ้าหากติดตามสถานการณ์ จากการพูดคุยเจรจาซึ่งตกลงว่า จะมีการหยุดยิงในช่วงเที่ยงคืน แต่ปัจจุบันก็ทราบกันดีว่า ยังไม่มีการหยุดยิง จึงตระหนักถึงพื้นที่เกิดเหตุ และมองว่าน่าจะช่วยเหลือประชาชน เจ้าหน้าที่แนวหน้าได้ นอกจากการรับบริจาคเลือด ก็ยังมีการประชุม ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งเป็นการประชุมลับ เพื่อเสนอข้อเสนอต่อรัฐบาล ในการแก้ปัญหา
เมื่อถามถึงสถานการณ์ในพื้นที่ที่ขณะนี้ยังไม่นิ่ง พล.อ.เกรียงไกร ระบุว่า ตนนั้นมั่นใจในกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือที่ปฏิบัติการอยู่ตามแนวชายแดนว่า สามารถที่จะยึดพื้นที่ของไทยได้ ซึ่งหากไทยมีการยึดพื้นที่ก็ถือว่า จะเป็นข้อได้เปรียบในการพูดคุยเจรจาตกลงง่ายขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าการตอบโต้ไปมา ย่อมมีการสูญเสีย แต่กองทัพของไทยก็มีนโยบายแน่ชัดว่า จะไม่มีการดำเนินการกับพลเรือนของฝ่ายกัมพูชา ไม่เหมือนกับกัมพูชาที่ยิงโดยมีเป้าหมายซ่อนเร้น ทำให้ประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบเยอะ ทั้งนี้ในชีวิตทหารแนวหน้า ถือว่าได้ทำหน้าที่ ได้เสียสละกันมาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นการจะยึดภูมะเขือ หรือยึดประสาทตาควายกลับคืนมา ถือเป็นความจำเป็น เพราะถือเป็นภูมิประเทศสูงข่ม เป็นจุดที่สำคัญที่จะต้องยึดไว้ให้ได้ เพื่อให้เกิดความได้เปรียบในการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกบรรจุอยู่ในแผนป้องกันประเทศของกองทัพบกอยู่แล้ว
พล.อ.เกรียงไกร ยังกล่าวถึงการเจรจาระหว่างไทย–กัมพูชาเมื่อวานนี้ โดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลาง ว่า เป็นสัญญาณบวก และแสดงความหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อมีหลายประเทศเข้ามามีบทบาท เช่น สหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าสุดท้ายแล้วทุกสงครามต้องจบที่การเจรจา ไม่ใช่การตอบโต้กันไปมา ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และเราควรได้เปรียบบนโต๊ะเจรจา โดยเฉพาะการรักษาพื้นที่คือหัวใจสำคัญ เราใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งมีความแม่นยำสูง และไม่ควรส่งมอบพื้นที่ที่เรายึดคืนกลับไปอีกโดยไม่มีหลักประกันใดๆ
ส่วนข้อเสนอของวุฒิสภานั้น พล.อ.เกรียงไกรยืนยันถึงการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 และเรียกร้องให้มีการทบทวน MOU ฉบับที่ 43 และ 44 ซึ่งอาจต้องเข้าสู่กระบวนการเจรจาใหม่ หรือแม้แต่พิจารณายกเลิก หากขัดต่อผลประโยชน์ของชาติ
ทั้งนี้ท่าทีของสหรัฐฯ ที่ระบุว่าจะไม่เจรจาทางการค้าหากชายแดนไทย–กัมพูชายังไม่สงบ พล.อ.เกรียงไกร มองว่า เป็นแรงกดดันเชิงนโยบายที่รัฐบาลต้องรับมือ แต่ย้ำว่า หน้าที่ของทหารในแนวหน้าคือ การรักษาอธิปไตย และปกป้องประเทศจากการรุกราน แม้จะต้องสูญเสีย ต้องเจ็บปวด แต่ต้องยืนยันให้ได้ว่า การสูญเสียของเราจะต้องไม่เสียเปล่า.-312 -สำนักข่าวไทย