กรุงเทพฯ 8 ก.ค. – ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย มิ.ย.ลดลงต่อเนื่องแตะระดับ 22.5 ภาคธุรกิจอยากเห็นการกระจายวัคซีน หยุดโควิดเร็ว แต่ไม่อยากให้ล็อกดาว์นทั้งประเทศอาจจะกระทบเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ย้ำเศรษฐกิจไทยปีนี้โตแค่ร้อยละ 0-1 เท่านั้น แม้จะเพิ่มเพดานก่อหนี้เพื่อกู้เงินเพิ่มมาอัดฉีดระบบเศรษฐกิจก็เห็นด้วย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนมิถุนายน 2564 พบว่าดัชนีมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 มาอยู่ที่ระดับ 22.5 เนื่องจากภาคธุรกิจยังคงมีความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ส่งผลกระทบต่อ การดาเนินชีวิตของประชาชน การทาธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศทั้งปัจจุบันและ ในอนาคต หากสถานการณ์ COVID-19 ยังไม่สามารถควบคุมได้ มาตรการเร่งด่วน ในพื้นที่เป้าหมายเฉพาะ 10 จังหวัด ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ให้มีการหยุดงานก่อสร้างโดยเน้นไปที่โครงการขนาดใหญ่ อย่าง น้อย 30 วัน การสั่งปิดกิจการทางธุรกิจในหลายประเภท ทาให้ไม่สามารถดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ กนง. ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2464 โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.8 จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3 ธุรกิจเริ่มขาดสภาพคล่องและทยอยปิดกิจการ ส่งผลให้มีการปลดคนงานเพิ่มขึ้น หรือมีการลดเงินเดือนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจอยากเห็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน รวมทั้งมาตรการภาครัฐเข้าไม่ถึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และอยากให้ภาครัฐเร่งจัดสรรวัคซีนที่มีคุณภาพเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาด ของเชื้ไวรัสCOVID 19 ให้กับประชาชนเพื่อสร้างภูมิ ต้านทานหมู่ พร้อมเร่งพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนให้เข้มแข็งรวมถึงเร่งการหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในคลัสเตอร์ต่างๆหลายพื้นที่ให้ได้โดยเร็ว และเร่งขับเคลื่อนการส่งออกของประเทศเพื่อเพิ่มระดับการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ฟื้นฟูการท่องเที่ยวของไทยให้กลับมามีรายได้
อย่างไรก็ตาม ในภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังเห็นว่า การที่ภาครัฐจะล็อกดาว์นประเทศทั้งหมดเพื่อหยุดการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าอาจจะทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่หากจะล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ก็น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะจะทำให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจไปได้บ้าง แต่จะจะล็อกดาว์นทั้งประเทศจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศลงไปอีกได้ ซึ่งหากดูบางประเทศในอาเซียนที่ล็อกดาว์นทั้งประเทศกยังแก้ปัญหาการแพร่เชื้อโควิดได้ ดังนั้น คงจะต้องให้ทางแพทย์วิชาการและภาคที่เกี่ยวข้องได้วิเคราะห์และพิจารณาปัญหาเหล่านี้ ขณะเดียวกันภาครัฐคงจะต้องหามาตรการเสริมเพื่อให้กระตุ้นภาคธุรกิจและประชาชนเพิ่มเติมจากขณะนี้ภาครัฐวางกรอบไว้ในระบาดรอบ 3 จำนวน 500,000 ล้านบาท แต่หากล็อกดาว์นภาครัฐอาจจะต้องกู้เพิ่มอีก 500,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเพดานก่อหนี้จากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 62-65 ของจีดีพีก็น่าจะทำได้เพื่อให้เม็ดเงินอัดฉีดเข้าระบบอย่างเต็มที
อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์พยากรณ์ฯมองว่ามาตรการต่างๆ จะสามารถชดเชยผลกระทบที่เศรษฐกิจได้รับจากโควิด-19 ในระดับหนึ่งและเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้น่าจะเติบโตอยู่ระดับร้อยละ 0-1 เท่านั้น อาจจะไม่เติบโตไปมากกว่านี้ หากยังไม่สามารถหามาตรการหยุดเชื้อโควิดให้เบาบางลงและการเร่งหาวัคซีนยังไม่มากพอ ซึ่งมองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าหรือปลายปี 65 ถึงต้นปี 66 เพราะขณะนี้คงจะต้องจับตาการระบาดโควิดสายพันธุ์เดลต้าถือว่าแพร่เชื้อเร็วและแรงอาจจะทำให้คนติดเชื้อในจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกระทบต่อแผนการเปิดประเทศ 120 วันของนายกรัฐมนตรีได้.-สำนักข่าวไทย