กรุงเทพฯ 18 พ.ค. – กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันโอชา เสนอ 5 แนวทางบรรเทาผลกระทบราคาเหล็ก พร้อมร่วมมือทั้งห่วงโซ่การผลิต ผลักดันเหล็ก 4.0 สร้างอุตสาหกรรมเหล็กให้ยั่งยืน
นายนาวา จันทนสุรคน นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และผู้ประสานงานกลุ่ม 7 สมาคมฯ เหล็ก เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ผู้แทนกลุ่ม 7 สมาคมฯ เหล็ก ได้ยื่นหนังสือเรื่อง “ขอความอนุเคราะห์พิจารณาข้อเสนอแนวทางบรรเทาผลกระทบจากราคาสินค้าเหล็ก” ถึงนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล โดยย้ำข้อเสนอ 5 ข้อ ประกอบด้วย (1) สร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน (2) กลุ่มผู้ผลิตในประเทศจะรายงานข้อมูลการผลิต (3) สนับสนุนให้ภาครัฐพิจารณาปรับเงินชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) (4) ขอให้ภาครัฐสนับสนุนให้เกิดการใช้วัตถุดิบในการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศ (5) เร่งนำเสนอ และผลักดันนโยบายอุตสาหกรรมเหล็ก 4.0 โดยเชื่อมั่นว่าหากนายกรัฐมนตรีสนับสนุน และมอบนโยบายตามข้อเสนอของ 7 สมาคมฯ เหล็กให้กับภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันทั้งห่วงโซ่การผลิตจะสามารถบรรเทาผลกระทบผู้ใช้สินค้าเหล็กได้
นายวิกรม วัชระคุปต์ ประธานคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่าสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ใช้สินค้าเหล็กเป็นวัตถุดิบได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาสินค้าเหล็กเช่นกัน แต่ทั้งนี้เป็นสถานการณ์ที่เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการปรับราคาขึ้นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก นอกจากนี้อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศยังมีส่วนช่วยชะลอการขึ้นราคาขายในประเทศ เนื่องจากราคาขายเป็นไปตามต้นทุนการผลิตที่สามารถจัดหาได้ ไม่ได้ปรับตามราคาซื้อขายตามราคาตลาดโลกทันที
สำหรับการบรรเทาผลกระทบของผู้รับเหมาก่อสร้างงานโครงการภาครัฐเชื่อว่าการปรับค่า K น่าจะเป็นมาตรการเร่งด่วนที่สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ และในอนาคตเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเหล็กควรจะมีการสร้างความเชื่อมโยง และร่วมมือกันตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตเหมือนหลายประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยให้ความเห็นต่อแนวทางของกลุ่ม 7 สมาคมฯ เหล็กว่า เป็นแนวทางที่น่าสนใจ และเชื่อว่าหากมีความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนจะสามารถดำเนินการบรรลุตามเป้าประสงค์ได้ นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวยังครอบคลุมถึงมาตรการระยะสั้นซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วน เช่น การพิจารณาปรับค่า K หรือแม้แต่การร่วมมือกันระหว่างผู้ใช้ และผู้ผลิตซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ และระยะยาวที่เน้นการสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมเหล็กโดยเฉพาะความพยายามในการวางแผน และนำเสนอการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็ก 4.0 . – สำนักข่าวไทย