กรุงเทพฯ 1 มี.ค. – พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทย คว้ารางวัลระดับภูมิภาคอีกครั้ง
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทยได้รับรางวัล Roll of Honour สาขา Regional Awards: Domestic Bond ในการจัดอันดับ IFR Asia Awards 2020 จาก International Financing Review Asia (IFR Asia) ซึ่งเป็นนิตยสารด้านตลาดเงินและตลาดทุนชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย
รางวัลดังกล่าวนับเป็นรางวัลที่ 4 จากการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทย โดยก่อนหน้านี้ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืนได้คว้า 3 รางวัลจากนิตยสาร The Asset ได้แก่ รางวัล Thailand’s Best Sustainable Bond และรางวัล Thailand’s Best Issuer for Sustainable Finance ในการจัดอันดับ Triple A Country Awards 2020 และรางวัล Best Sustainability Bond ระดับภูมิภาค ในการจัดอันดับ Deals of the Year – Triple A Sustainable Capital Markets Regional Awards 2020
กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เริ่มออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ครั้งแรกในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อนำเม็ดเงินระดมทุนที่ได้ไปใช้ในโครงการเพื่อการพัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม อันได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และโครงการช่วยเหลือ เยียวยา และบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (Covid-19) ซึ่งในปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) มีวงเงินคงค้างอยู่ที่ 65,000 ล้านบาท และ สบน. มีแผนที่จะดำเนินการออกอย่างต่อเนื่องให้มียอดเงินคงค้างขั้นต่ำอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท เพื่อสร้างสภาพคล่องให้แก่พันธบัตรและสนับสนุนการระดมทุนอย่างยั่งยืน
ในการนี้ สบน. ขอขอบคุณนักลงทุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่เข้ามามีส่วนร่วมให้ประเทศไทยได้รับรางวัลในครั้งนี้ โดยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ของรัฐบาลไทยจะเป็นการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีความรับผิดชอบในการระดมทุนที่มีส่วนในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดจนมีส่วนร่วมในการผลักดันประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้ง 17 ด้าน (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติต่อไป . – สำนักข่าวไทย