กรุงเทพฯ 24 ธ.ค. – บริษัทเคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “KEX” เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก (24 ธันวาคม 63) ราคาพุ่งอยู่ที่ 72.25 บาท เหนือจอง 158% จากราคา IPO 28 บาท/หุ้น พร้อมเดินหน้าดันศักยภาพขนส่งเป็น 3 ล้านชิ้นต่อวันภายในปี 2566
บมจ. เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนภาคเอกชนในประเทศไทย เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มบริการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “KEX” คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 8,400 ล้านบาท มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ IPO 48,720 ล้านบาท โดยเข้าทำการซื้อขายวันแรก (24 ธันวาคม63) ด้วยราคา72.25 บาท/หุ้น เหนือจอง 158% จากราคา IPO 28 บาท/หุ้น
นายวราวุธ นาถประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่สมุทรสาครขณะนี้ว่า ได้มีการประชุมและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด มีการเซฟตี้พนักงาน เพื่อไม่ให้กระทบกับการขนส่งพัสดุ รวมทั้งเตรียมความพร้อมรับมือหากมีการล็อคดาวน์โดยนำประสบการณ์จากการล็อคดาวน์รอบแรกมาใช้ ทั้งการขยายระยะเวลาการขนส่ง การเตรียมความพร้อมของบุคคลากรทุกฝ่าย รวมทั้งแผนการรองรับจำนวนพัสดุที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งในการล็อคดาวน์รอบแรก ช่วง มีนาคม-เมษายน มีปริมาณขนส่งพัสดุเพิ่มขึ้นกว่า 50% หรือ ประมาณ 1.9 – 2 ล้านชิ้น/วัน ซึ่งปริมาณที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากความตระหนกและกักตุนสินค้าจำนวนมากหลังไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้ตามปกติ แต่เชื่อว่าการแพร่ระบาดรอบนี้ คนจะไม่ตกใจและไม่กักตุนสินค้ามากเหมือนรอบแรก แต่ก็เชื่อว่าปริมาณการขนส่งสินค้าจะเพิ่มขึ้นแต่อาจไม่เพิ่มสูงมากเหมือนรอบแรก
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยบริษัทมีแผนในการพัฒนาและลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขนส่งสินค้าให้ได้ 3 ล้านชิ้น/วัน ภายในปี 2566 ทั้งนี้สำหรับแผนการลงทุนในปี 64 เบื้องต้นได้วางแผนงบลงทนไว้ที่ 1,000 ล้านบาท แต่จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทยังต้องติดตามสถานการณ์รวมทั้งมาตรการหรือนโยบายจากภาครัฐเพื่อปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องอีกครั้ง
ทั้งนี้หลัง IPO KEX มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 ลำดับแรก ได้แก่ บริษัท เคแอลเอ็น โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นรวม 52.1% และบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นรวม 19.0% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดในแต่ละปี โดยจำนวนเงินปันผลที่จ่ายจะต้องไม่เกินกว่ากำไรสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการ . – สำนักข่าวไทย