กรุงเทพฯ 12 มี.ค. – ทีทีบี ประกาศกลยุทธ์ ปี 2568 ปีแห่งการช่วยลูกหนี้ทุกกลุ่มปลดหนี้ได้ไวขึ้น มอง LTV-ลดดอกเบี้ย ไม่ช่วยกลุ่มมีหนี้-กลุ่มไม่มีกำลังซื้อ ส่วนสินเชื่อรถกระบะ อาจไม่จูงใจคนให้ซื้อใหม่ หากยังใช้คันเก่าได้ เสนอดึงเม็ดเงินต่างประเทศ จากคนเก่ง-คนเกษียณที่มีเงินเข้ามาอยู่ในไทย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่าเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งความขัดแย้งทางการเมืองที่ทวีความรุนแรง สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจ ทำให้ทั้งภาคธุรกิจและประชาชนเผชิญภาระทางการเงินหนักขึ้น สำหรับประเทศไทยปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงเรื้อรัง คนไทยเผชิญภาวะ “แก่แต่ยังเป็นหนี้” รายได้ไม่เพิ่มแต่ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 16.3ล้านล้านบาท หรือ 89% ของ GDP ธุรกิจ SME ถูกดิสรัป เข้าถึงแหล่งทุนได้ยากขึ้น และธุรกิจต้องปิดตัวลงมากขึ้น สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการมีมาตรการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถกลับมาตั้งหลักทางการเงินได้อีกครั้ง
ทีทีบี ตระหนักถึงปัญหาหนี้สินของคนไทยมาโดยตลอด และมุ่งมั่นให้ความสำคัญกับการช่วยแก้ปัญหาหนี้อย่างจริงจัง ผ่านมาตรการที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2563 ที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 และเดินหน้าพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ช่วยให้ลูกค้าจัดการภาระหนี้ได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ผ่านบริการรวบหนี้ที่ช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้ลูกค้าไปแล้วกว่า 2,240 ล้านบาท สินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์ที่ให้พนักงานเงินเดือนองค์กรเข้าถึงสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า โดยปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือแล้วกว่า 8,800 ล้านบาท อีกทั้งยังมีโปรแกรม Financial Literacy ที่ประกอบด้วยแพลตฟอร์มตรวจสุขภาพการเงินออนไลน์ที่มีลูกค้าเข้าร่วมวัดระดับหนี้กว่า 96,000 ครั้ง
ล่าสุดกับโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกค้าสามารถตั้งหลักใหม่ได้ เรียกว่าเป็นยาแรงขั้นสุดที่จะเยียวยาลูกหนี้ เพราะดอกเบี้ยลดเหลือ 0% แต่กลับพบว่าลูกค้าทีทีบีในกลุ่มสินเชื่อบุคคลเข้าร่วมมาตรการน้อยมาก กลุ่มสินเชื่อรถยนต์มีคนต้องการเข้าประมาณ 10% เท่านั้น ขณะที่กลุ่มสินเชื่อบ้านเป็นกลุ่มที่ให้การตอบรับดีเข้าร่วม 60% และกลุ่ม SME เข้าร่วมเพียง 30% สะท้อนว่าปัญหาของประชาชนอาจมีมากกว่าการผ่อนชำระหนี้ จนไม่ยอมแม้แต่จะแฮร์คัทหนี้ กลายเป็นโจทย์สำคัญว่า ในฐานะธนาคารที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมจะสามารทำอะไรได้อีกบ้างเพื่อให้ประชานชนผ่านความยากลำบากนี้ไปได้
ส่วนแนวคิดสินเชื่อรถกระบะ มองว่าประชาชน เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ใช้รถกระบะในการประกอบอาชีพ หากรถกระบะคันเดิมยังใช้ได้ เป็นไปได้สูงที่คนเหล่านี้จะไม่ซื้อ เพราะต้องยอมรับว่ารถกระบะส่วนใหญทนทานใช้งานได้นานหลายสิบปี มองว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับรัฐบาลในการกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายท่ามกลางประชาชนที่มีเงินจำกัด แต่น่าจะกระตุ้นให้คนที่มีเงินอยู่แล้วมาจับจ่ายได้ แต่กลุ่มนี้ก็อาจยังชะลอการซื้อ เพราะมองว่าราคารถอาจมีโอกาสปรับลงอีก
เช่นเดียวกับหากมีการผ่อนปรนมาตรการ LTV อาจไม่เกิดประโยชน์มากเท่าที่คาด เพราะคนชะลอการซื้อบ้าน เพราะคิดว่าราคาน่าจะลดลงอีก ส่วนคนที่พอมีรายได้ก็จะติดเรื่องอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ (Dept to Income หรือ DTI) คือแม้จะกู้ได้แต่ไม่มีเงินในกระเป๋าเพียงพอที่จะผ่อนจ่าย พร้อมมองว่าแนวทางที่กระตุ้นศรษฐกิจได้มากกว่าคือการออกมาตรการจูงใจคนต่างประเทศให้เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศต่างๆทั่วโลก ที่ขณะนี้มีไม่ต่ำว่า 60 ประเทศกำลังพยายามดึงคนวัยเกษียณที่มีรายได้ หรือคนเก่ง คนที่ทำงานที่ไหนก็ได้ในโลก ให้มาอยู่ในประเทศของตัวเอง
“ปี 2568 เป็นปีที่ทีทีบีจะสร้าง ‘The MEANINGFUL Change’ ให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม เราไม่ได้เป็นเพียงธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อ แต่ต้องการสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง และพร้อมดูแลและช่วยเหลือให้ลูกค้าสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง” นายปิติ กล่าว.-516-สำนักข่าวไทย