กรุงเทพฯ 15 ต.ค. – บล.ทรีนีตี้ แนะจัดพอร์ตลงทุนหุ้นไทยเพียง 10-20% เก็บเงินสด35% รอช้อนซื้อช่วงตลาดลง
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนในปี 64 ต้องสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่มองว่าอาจจะเป็นลักษณะ Double Dip หรือมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะถดถอยซ้ำอีกจากการระบาดของโควิด-19 รอบสอง ดังนั้น การกระจายสินทรัพย์เพื่อลงทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารสินทรัพย์ เพื่อคงการรักษาผลตอบแทน จะเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนในปีหน้า
ทรีนีตี้ ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นไทย 10-20% เน้นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นจีน-เวียดนามรวมกัน 10% โดยลงทุนในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว 10-20% เนื่องจากระดับ P/E ใกล้เคียงกับตลาดเกิดใหม่ และอีก 5-10% ลงทุนในทองคำ ขณะที่ 1-5% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ส่วนอีก 35% ถือเป็นเงินสด เพื่อสร้างโอกาสที่ดีให้กับนักลงทุนในจังหวะตลาดปรับตัวลดลง
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจกรณีมีการระบาดรอบสองของโควิด-19 ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 64 จะเติบโตต่ำกว่า 1% จากเดิมคาดการณ์โตมากกว่า 4% ผลกระทบจากโควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างช้า ๆ ต้องใช้เวลาจนถึงปี 67 ถึงจะเติบโตได้ 2% ส่วนผลกระทบที่เกิดกับตลาดหุ้นไทยจะเห็นตลาดหุ้นปรับลดลงในไตรมาส 1/64 ก่อนที่จะฟื้นตัวในไตรมาส 2 ปีหน้า เนื่องจากฐานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ติดลบในไตรมาส 2 ปีนี้
“ปี 62-63 สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงอันดับต้น ๆ คือดัชนี NASDAQ ให้ผลตอบแทน 35% ในปี 62 และ 20% ในปี 63, บิทคอยน์ ให้ผลตอบแทน 95% ในปี 62 และ 46% ในปี 63, ทองคำในรูปดอลลาร์สหรัฐ ให้ผลตอบแทน 18% ในปี 62 และ 25% ในปี 63, หุ้นจีน ให้ผลตอบแทน 22% ในปี 62 และ 7% ในปี 63 แต่หุ้นไทยให้ผลตอบแทน 1% ในปี 62 และ -20% ในปี 63″นายวิศิษฐ์ กล่าว
นายวิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ไตรมาส 4 ของปีนี้ การลงทุนอาจจะผันผวนมาก ๆ เนื่องจากฟันด์โฟลว์โลกอาจจะรอความชัดเจนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ นักลงทุนอาจจะเลือกหุ้นที่มีลักษณะ Defensive สินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แต่คาดว่าตลาดหุ้นไทยและกลุ่ม Emerging Market อาจจะได้ผลบวกจากการมีความชัดเจนขึ้นของนโยบายประเทศทางฝั่งตะวันตก ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ . – สำนักข่าวไทย