กรุงเทพฯ 17 มี.ค. – ผู้เชี่ยวชาญชี้ลงทุนยุค “ทรัมป์” ผันผวน ต้องปรับตัว -คล่องตัว จัดพอร์ตลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ลงทุนตลาดตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก ส่วนเศรษฐกิจไทย ได้รับผลกระทบไตรมาส 3/68 เป็นต้นไป และมีแนวโน้มดอกเบี้ยไทยจะลดลงอีกตามเศรษฐกิจชะลอตัว
เมื่อเร็วๆนี้ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จัดสัมมนา Investment Outlook 2025 : Navigating Thailand’s Economy and Financial Market in the Trump Era เพื่ออัปเดทมุมมอง กลยุทธ์ และทิศทางการลงทุนปี 2025 โดยผู้เชี่ยวชาญการลงทุนจาก ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ผนึกกำลังกับ 3 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำ บลจ.อีสท์สปริง (Eastspring) บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC) และ บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM)
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย บรรยายหัวข้อ Global Economic Update Y2025 มองว่านโยบายการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังเติบโตที่ 2% และจีนขยายตัวต่ำกว่า 5% แต่สหรัฐฯ มีแนวโน้มขาดดุลการค้ามากขึ้น แม้จะขาดดุลกับจีนลดลงจาก 40% เหลือ 20% แต่กลับขาดดุลเพิ่มขึ้นกับประเทศอื่น รวมถึงไทย เนื่องจากประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 11 สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวและเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ส่งผลให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเผชิญแรงกดดัน ด้านเศรษฐกิจไทย แม้ไตรมาสแรกปีนี้จะเติบโต 3% แต่คาดว่าครึ่งปีหลังจะชะลอลงเหลือ 2% โดยผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์อาจเห็นชัดขึ้นในไตรมาสถัดไป และมีแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แม้การส่งออกช่วงต้นปีนี้จะเร่งตัวขึ้นก่อนที่ความตึงเครียดทางการค้าจะรุนแรงขึ้น แต่ในระยะถัดไปอาจเผชิญความเสี่ยงจากสงครามค่าเงิน
ทั้งนี้ ทรัมป์มีแนวโน้มใช้นโยบายที่ชะลอโลกาภิวัตน์ (pause globalization) ส่งเสริมการนำอุตสาหกรรมกลับประเทศ (reverse reshoring) ใช้นโยบายการคลังแบบเป็นกลาง (neutral fiscal spending) ซึ่งอาจทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น และผลักดันให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการค้า (drive for devaluation)
Patrick Chang ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนภูมิภาค (Regional CIO) กลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวว่า ภาพรวมตลาดการลงทุนเปลี่ยนแปลงมาก เกิดปรากฏการณ์ ‘Trump 2.0’ สร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนในตลาดการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน และยุโรป ดังนั้น ปัจจัยสำคัญสำหรับนักลงทุนปีนี้ คือความสามารถในการปรับตัว และความคล่องตัว โดยเฉพาะการจัดพอร์ตลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในตลาดพัฒนาแล้ว รวมถึงการลงทุนตลาดตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และกลยุทธ์การใช้ Covered Call Options ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน
นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ CFA รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่าหากวิเคราะห์หลายแง่มุมของทรัมป์ทั้งการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจ ตั้งแต่ลักษณะนิสัยวัยเยาว์จนถึงยุคที่เขากลายเป็นบุคคลสาธารณะมีชื่อเสียงระดับโลก โดยเมื่อ 40 ปีก่อน ทรัมป์เขียนหนังสือ “The Art of the Deal” เผยแพร่ศิลปะการต่อรองธุรกิจรับเหมาและโครงการสร้างคาสิโนที่แอตแลนติกซิตี้ แม้โครงการจะประสบปัญหาการเงินและการหาผู้ร่วมทุน แต่เขาสามารถดึง Holiday Inn มาร่วมทุนได้ด้2 วยการสร้างภาพลักษณ์ให้ไซต์ก่อสร้างดูคึกคักสร้างความประทับใจแก่นักลงทุน สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นนักเจรจาที่เฉียบแหลมและความสามารถในการดึงดูดความสนใจจากสาธารณชน และช่วง 10 ปีที่แล้ว รายการเรียลลิตี้โชว์ “The Apprentice” ของทรัมป์ได้รับความนิยม เรตติ้งสูง และได้รับรางวัลเอมมี่จนทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในวงการสื่อ เมื่อพิจารณาการดำเนินนโยบายการค้าของทรัมป์ในปัจจุบัน จึงคาดว่าจะเป็นการ “ขู่” คู่ค้า ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าและตอบโต้แบบ “ถ้าคุณทำ ผมก็จะทำ” ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดโลก นโยบาย “Inflationary” เช่น การลดภาษี การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐและการควบคุมคนเข้าเมืองอาจสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและนำไปสู่เงินเฟ้อในอนาคต แม้จะมีความผันผวน แต่ช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแบ่งแนวทางการลงทุนระยะ 3-6 เดือนข้างหน้าเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ หุ้นเอเชีย หุ้นเติบโต ตราสารหนี้สหรัฐฯ และหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่มสุขภาพ สงครามการค้าของทรัมป์คือ “very loud noise” เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับสังคมอเมริกา ที่พาเราเข้าสู่การ “Protectionism, Standalone and Unwind Globalization” แต่มองว่า สหรัฐฯ ยังคงต้องพึ่งพาภาคการผลิตของจีนอยู่และในช่วง 5 ปีต่อจากนี้สหรัฐก็จะยังคงเป็นประเทศผู้นำของโลก
นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) กล่าวว่าว่าการกลับมาของทรัมป์อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนมากขึ้น นักลงทุนควรเตรียมกลยุทธ์รับมือ ยกตัวอย่าง buy on dip โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐานที่ยังแข็งแกร่ง เช่น GDP เติบโต 2% ตัวเลขการจ้างงานออกมาดี และการบริโภคขยายตัว สะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้เผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและการเงิน
นายปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล, FRM ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ แต่ปีนี้คาดว่าจะเห็นการกระจายการลงทุนมากขึ้น นักลงทุนอาจลดสัดส่วนในหุ้น7 นางฟ้า และหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ไปสู่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง รวมถึงนโยบายการปรับลดภาษีที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี สำหรับภาวะการลงทุนที่มีแนวโน้มที่มีความผันผวนสูงขึ้น กองทุนที่เน้นความผันผวนต่ำ จำกัดความความผันผวน หรือ Low Volatility Strategy ก็จะช่วยจำกัดขาดทุนได้ดีในช่วงที่ภาวะการลงทุนมีความผันผวน. -511- สำนักข่าวไทย