กรุงเทพฯ 15 ต.ค. – รัฐมนตรีคลังสั่งให้ สำนักงาน คปภ.พิจารณาหาทางให้คนระดับฐานรากเข้าระบบประกันให้มาก หวังช่วยลดภาระในด้านต่างๆของประชาชนและดูประกันภัยพืชผลเพิ่มเติม
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจรประจำปี 63 ว่า กระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนการทำประกันภัยในกลุ่มประชาชนทั่วไป และผู้มีรายได้น้อย ให้เป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้เร่งจัดทำแผนประกันประกันสุขภาพ ประกันหลังวัยเกษียณ ประกันเกี่ยวกับการขนส่งคมนาคม สำหรับกลุ่มรายย่อย โดยให้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาหลังจากนี้
ทั้งนี้ การยกระดับประกันสุขภาพ ยืนยันว่าเป็นมาตรการเร่งด่วน เนื่องจากปัจจุบันระบบสวัสดิการยังไม่เพียงพอ ที่จะรองรับค่าใช้จ่าย และสังคมผู้สูงอายุในอนาคต รวมถึงปัจจุบันพบว่า สัดส่วนการทำประกันยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นจึงอยากให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐด้วย และยังอยากให้การทำประกันเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนชีวิตหลังวัยเกษียณ เพราะพบว่า คนไทยยังมีหลักประกันน้อย ขณะที่สังคมผู้สูงวัยกำลังก้าวเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยมีสัดส่วนการทำประกันภัยน้อย และหลักประกัน หรือสวัสดิการของรัฐในด้านสุขภาพยังมีไม่เพียงพอที่จะรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคตได้ ดังนั้นจึงจะใช้ระบบประกันเข้ามาช่วย เพื่อแบ่งเบาภาระงบประมาณของภาครัฐในระยะต่อไป สำหรับแนวทางนั้นพร้อมที่จะใช้มาตรการทางด้านการคลังเข้ามาสนับสนุน ทั้งการขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้ามา หรือการใช้งบประมาณรัฐเข้าไปช่วยสนับสนุน แต่รายละเอียดจะมีการศึกษาก่อน และยังได้สั่งการให้ คปภ. ไปพิจารณาการออกประกันภัยพืชผลทางการเกษตรเพิ่มเติม นอกเหนือจากข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากมองว่าจะเป็นการช่วยเหลือกลุ่มเกษตรได้ รวมถึงการประกันภัยเกี่ยวกับการเดินทางรางในอนาคตที่ไทยจะมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงในหลายเส้นทางที่จะต้องมีการคุ้มครองดูแลในด้านประกันภัยทั้งตัวบุคคลและในด้านทรัพย์สินต่างๆด้วย
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับธุรกิจประกันภัย คปภ. กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ธุรกิจประกันมีเบี้ยประกันรับโดยตรงอยู่ที่ 406,869 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจประกันชีวิต 285,402 ล้านบาท ธุรกิจประกันวินาศภัย 121,467 ล้านบาท โดยธุรกิจประกันภัยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 4.61 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อจีดีพีอยู่ที่ร้อยละ 5.3 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง
สำหรับที่ผ่านมาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยจึงมีบทบาทในการช่วยพัฒนาประเทศ แต่ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังนั้นธุรกิจประกันจึงต้องปรับตัว เพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปให้มากขึ้น ขณะเดียวกันในฐานะผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัย คปภ.ได้บูรณาการร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยในการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงโควิด-19 เช่น การสนับสนุนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง การนำเทคโนโลยีมาเป็นช่องทางในการเข้าถึงประกันมากขึ้น
ทั้งนี้ คปภ.จะนำแนวทางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้มอบหมายไปดำเนินการ ให้เห็นเป็นรูปธรรม และจะต้องหารือร่วมกับอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อจัดทำแผนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยมาเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา ซึ่งที่ผ่านมา คปภ.ได้มีการส่งเสริมอยู่แล้ว เช่นการจัดทำประกันภัยเฉพาะโรค ที่มีเบี้ยราคาถูกหลักร้อยบาทให้ประชาชนได้ซื้อ . – สำนักข่าวไทย