นนทบุรี 20 ก.ย. – พาณิชย์เตรียมเปิดเวทีรับฟังความเห็นฟื้นเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู 22 ก.ย.นี้ พร้อมกางผลการศึกษาประโยชน์และผลกระทบ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ เตรียมเปิดเวทีสัมมนา “ไทยพร้อมหรือยังที่จะฟื้นการเจรจา FTA ไทย-EU?” วันที่ 22 กันยายน 2563 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-อียู โดยเชิญวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน (SMEs) เกษตรกร นักวิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นต่อผลการศึกษาดังกล่าว และระดมความเห็นการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-อียู ซึ่งกรมฯ จะรวบรวมเสนอระดับนโยบายประกอบการพิจารณาตัดสินใจการดำเนินการของไทย สำหรับผู้สนใจสามารถรับชมและร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านการถ่ายทอดสดทาง Facebook กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ตลอดงาน
นางอรมน กล่าวว่า ปัจจุบันไทยทำการลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) 13 ฉบับ กับคู่ค้า 18 ประเทศ มีสัดส่วนการค้าคิดเป็น 62.8% ของการค้าไทยกับทั้งโลก (ข้อมูลปี 2562) ขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) 27 ประเทศ มีสัดส่วนการค้ากับไทยสูงถึง 7.9% ซึ่งสูงรองจากอาเซียน 22.4% จีน 16.5% ญี่ปุ่น 12% และสหรัฐ 10.1% สำหรับผลการศึกษาเบื้องต้นของสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนาระบุว่า การเจรจาจัดทำ FTA กับอียูจะช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขัน ขยายและเข้าถึงตลาดให้กับสินค้าที่ไทยมีศักยภาพส่งออกไปอียู เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหารอื่น เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก เป็นต้น และอาจส่งผลทำให้ไทยนำเข้าสินค้าบางชนิดจากอียูเพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น นมและผลิตภัณฑ์นม เครื่องดื่ม เมล็ดพืชน้ำมัน และสินค้าเทคโนโลยี เป็นต้น
ขณะเดียวกันความตกลงฉบับดังกล่าวจะนำไปสู่การปรับกฎเกณฑ์ทางการค้าให้สอดคล้องกันมากขึ้นที่จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการแข่งขันในตลาดโลกของไทย และจากการศึกษา FTA ที่สหภาพยุโรปทำกับสิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ พบว่า มีการหยิบยกประเด็นใหม่ ๆ รวมไว้ในความตกลงด้วย เช่น การยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ การเข้าเป็นภาคีความตกลงระหว่างประเทศ การยกระดับมาตรฐานแรงงาน และการปฏิบัติของรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของไทยต้องพิจารณาระดมความเห็นว่าไทยพร้อมที่จะเจรจากับสหภาพยุโรปในเรื่องเหล่านี้หรือไม่? อย่างไร?”
นางอรมน กล่าวว่า อียูทำ FTA กับสิงคโปร์และเวียดนาม มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 และ 1 สิงหาคม 2563 ตามลำดับ และอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำ FTA กับอินโดนีเซีย โดยเจรจากันมาแล้ว 9 รอบ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2559 รวมทั้งอยู่ระหว่างพักการเจรจา FTA กับมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย โดยในส่วนของไทยเคยเริ่มการเจรจากับอียู เมื่อปี 2556 เจรจาแล้ว 4 รอบ แต่หยุดชะงักลงเมื่อปี 2557 และล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2562 คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปได้มีข้อมติที่จะเดินหน้าเตรียมความพร้อมสู่การฟื้นเจรจา FTA กับไทย
ทั้งนี้ ปัจจุบันอียูมีสมาชิก 27 ประเทศ ไม่รวมสหราชอาณาจักร (ยูเค) ซึ่งจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการสิ้นปี 2563 โดยอียูเป็นกลุ่มประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ประชากรรวมกันกว่า 447 ล้านคน และมี GDP กว่า 15.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 18 ของ GDP โลก เป็นคู่ค้าอันดับ 5 ของไทย รองจากอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐ และเป็นนักลงทุนลำดับ 5 ของไทย รองจากญี่ปุ่น จีน อาเซียน และจีนไทเป.-สำนักข่าวไทย